วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009




ช่วนนี้นะครับเรามารู้จักไข้หวัดใหย่สายพันใหม่2009กันนะครับ
รู้จักกับไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ของโลก A-2009 H1N127เม.ย. ที่ผ่านมาสำนักข่าวต่างประเทศต่างพากันรายงานว่าที่กรุงเม็กซิโก ซิตีเมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก ได้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ คือไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์H1N1หรือที่เรียกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009ซึ่งหลังจากที่ได้แพร่ระบาดเข้าสู่สหรัฐอเมริการและแคนนาดาแล้วจึงได้กระจายไปสู่ภูมิภาคอื่นทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
โดยองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้เพิ่มระดับเตือนภัยการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้เป็นระดับ 5 ซึ่งเป็นขั้นที่ตรวจพบว่ามีการแพร่เชื้อจากคนสู่คนในอย่างน้อย 2 ประเทศในภูมิภาคเดียวกัน หรือการติดเชื้อข้ามประเทศ เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา
ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 52 องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศยกระดับการเตือนภัยไข้หวัดใหญ่ 2009 จากระดับ 5 เป็นระดับ 6 หรือระดับสูงสุดแล้ว เนื่องจากเริ่มต้นแพร่ระบาดไปทั่วโลกแล้ว อีกทั้งยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ ยุโรป อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย เอเชีย และภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 41 ปีที่มีการประกาศเตือนภัยไข้หวัดใหญ่ระบาดกว้างขวางทั่วโลก
นอกจากนี้องค์การอนามัยยังประกาศให้เรียกชื่อโรคนี้อย่างเป็นทางการว่า โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดA H1N1 แทนการเรียกว่า ไข้หวัดหมู
เช่นเดียวกับที่ก่อนหน้านี้สหรัฐ เรียกไข้หวัดสายพันธุ์ดังกล่าวว่า ไข้หวัดใหญ่ 2009 H1N1 เพื่อแก้ความเข้าใจผิดที่ว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้เกิดจากหมู
รู้จักกับไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ของโลก

ดร.แนนซี่ ค็อกซ์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยไข้หวัดใหญ่ ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐ กล่าวว่า ไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ชนิด A H1N1 นี้ มีลักษณะพันธุกรรมหรือยีน ที่ประกอบด้วยเชื้อไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์รวมอยู่ด้วยกัน ได้แก่ เชื้อไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์ เชื้อไข้หวัดนกที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ และ เชื้อไข้หวัดหมูที่พบบ่อยในทวีปยุโรปและเอเชีย


โดยสันนิษฐานเบื้องต้นว่า เชื้อไข้หวัดพันธุ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม หรือ Antigenetic Shift โดยมีหมูที่เป็นพาหะนำโรค โดยการถูกเชื้อไวรัสไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู และไข้หวัดใหญ่ เข้าไปอยู่ในตัว ต่อมาเซลล์ในตัวหมูถูกไวรัสตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปโจมตี ทำให้หน่วยพันธุกรรมไวรัสดังกล่าวผสมปนเปกันระหว่างการแบ่งตัว กลายเป็นเชื้อพันธุ์ใหม่ขึ้นมา

ขณะเดียวกัน ก็มีรายงานว่า นายเอเดรียน กิบส์ ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยพัฒนายาต้านไวรัส ทามิฟลู ของบริษัทโรช และเป็นผู้ศึกษาวิวัฒนาการของเชื้อโรคมาเป็นเวลานานถึง 40 ปี เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์รายแรกๆที่วิเคราะห์ส่วนประกอบทางด้านพันธุกรรมเปิดเผยว่า เขาตั้งใจที่จะตีพิมพ์รายงานที่มีข้อมูลบ่งชี้ว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ จากไข่ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เพาะไวรัสและบริษัทยาได้นำไปใช้เพื่อผลิตวัคซีนก็เป็นได้

โดยนายกิบส์กล่าวว่า การชี้เบาะแสของต้นตอไวรัสอาจจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ทำความเข้าใจไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของการแพร่เชื้อและสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ซึ่งขณะนี้องค์การอนามัยโลกอยู่ในระหว่างการพิจารณารายงานฉบับนี้

หมูไม่เกี่ยว
น.พ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผอ.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดใหม่นี้ว่า แม้จะมีเชื้อตั้งต้นมาจากหมู แต่ระยะแพร่ระบาดคือ ติดต่อจากคนสู่คน ดังนั้นการบริโภคผลิตภัณฑ์จากหมูไม่มีอันตรายแต่อย่างใด
ทั้งนี้หากเปรียบเทียบกับ “ไข้หวัดนก” ที่เคยแพร่ระบาดในอดีต ซึ่งเป็นเชื้อที่ติดต่อจากสัตว์ปีกสู่คนได้นั้น จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ผู้ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์นี้ มีอัตราเสียชีวิตร้อยละ 5-7 ซึ่งถือว่ายังน้อยกว่าอัตราของผู้เสียชีวิตของผู้ป่วยโรคไข้หวัดนก

ข้อมูลที่น่าสนใจ
1. ปัจจุบันมีเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่จำนวนมากในโลกและมีวัคซีนที่สามารถฉีดยาป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โดยแต่ละปีวัคซีนที่นำมาใช้เป็นไปตามเชื้อไวรัสที่น่าจะมีผลกระทบมากในปีนั้นๆ
2. ไวรัส H1N1 หรือไวรัสของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่นี้ เป็นไวรัสที่ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็วและยังไม่มีวัคซีนป้องกัน
3. ปัจจุบันยังไม่มีอันตรายที่น่าวิตกจนเกินไป โดยที่ผ่านมาผู้ที่ได้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 จะมีความรุนแรงต่อร่างกายน้อย น.พ. Belinda Ostrowsky จากศูนย์การแพทย์ Montefiore นิวยอร์ค กล่าวว่า มีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดชนิดนี้ เพียงเล็กน้อยในสหรัฐฯ หากเทียบกับยอดผู้เสียชีวิตด้วยไข้หวัดตามฤดูกาลประมาณ 2,000 คน จากทุกปี
ด้านกระทรวงสาธารณะสุขของไทย ระบุว่า เชื้อดังกล่าวไม่มีความรุนแรงมาก โดยมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่า 1% มีโอกาสหายเองได้เกิน 90 % และในส่วนที่ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 5-10% นั้น เนื่องจากมีโรคประจำตัว
4. ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพแข็งแรงและอาการไม่รุนแรง สามารถรักษาหายได้ด้วยภูมิต้านทานของร่างกาย ทั้งนี้หากเป็นผู้สูงอายุหรือเด็กจะมีความเสี่ยงมากกว่า



อาการ
ผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่เกิดขึ้นตามปกติ คือ มีไข้ขึ้นสูง ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ไอ คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตามร่างกายรุนแรง ท้องร่วง และปวดศีรษะรุนแรง อาการป่วยจะพัฒนารวดเร็วและจะมีอาการหายใจลำบากอย่างรุนแรงภายใน 5 วัน ทั้งนี้อาจจะพบว่าผู้ที่รับเชื้อจะแสดงอาการไม่รุนแรง
ข้อควรระวัง
- ผู้ติดเชื้อมีภูมิต้านทานอ่อนแอ ได้แก่ เด็ก คนชรา และผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคภูมิแพ้ เป็นต้น จะมีผลกระทบต่อร่างกายมากกว่าคนธรรมดา ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้นควรพบแพทย์เมื่อรู้สึกเป็นไข้ภายใน 2 วัน
- กรณีที่มีอาการรุนแรง เกิดจากมีการอักเสบที่ปอด จนถึงขั้นเสียชีวิตได้
- เด็กเล็กที่มีผู้ปกครองอาจได้รับทราบอาการป่วยช้า เนื่องจากเด็กไม่ได้บอกให้ทราบ
การติดต่อ
การแพร่ติดต่อเช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคน คือ
1. แพร่ไปยังผู้อื่นโดยการไอ หรือจามรดกัน โดยที่เชื้อจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย
2. ติดจากมือและสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ และเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา หากนำมือที่มีเชื้อไปสัมผัสร่างกาย เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา
การป้องกัน
1.ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิด เพื่อป้องกันเวลาจาม
2.หมั่นล้างมือ
3.หากมีอาการ ไข้อย่างรุนแรง และไข้ไม่ลดภายใน 2 วัน ควรรีบพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคนี้ รวมทั้งผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศที่มีการแพร่ระบาด
4. หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่แอดอัด และงดเดินทางไปในประเทศที่มีการแพร่ระบาดของโรคนี้อย่างรุนแรง
5. รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ


การรักษา
ในเอกสารเรื่องการแพร่ระบาดของไข้หวัดชนิดนี้ ที่กงสุลใหญ่ ในนครลอสแองเจลิสของสหรัฐ แสดงข้อมูลที่ระบุว่า สามารถใช้ยาชนิดเดียวกับยาไข้หวัดใหญ่ทั่วไปในการรักษาไข้หวัดชนิดเอ H1N1 ได้ คือ ยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) หรือ ทามิฟลู (Tamiflu) และยา zanamivir ซึ่งเป็นยาชนิดพ่น แต่ทั้งนี้ยาดังกล่าว ไม่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสได้
ทั้งนี้มีรายงานระบุว่าในสหรัฐอเมริกา ผลการตรวจเชื้อไวรัสชนิดนี้พบว่าเชื้อดังกล่าวดื้อยาต้านไวรัส amantadine และ rimantadine
อย่างไรก็ตาม WHO ออกมายอมรับว่ายาทามิฟลูที่มีอยู่ในขณะนี้อาจไม่เพียงพอต่อการับมือกับการแพร่ระบาดที่อาจเพิ่มมากขึ้น

ข้อควรพิจารณา
1. ไม่ควรเชื่อ หากมีการโฆษณาว่า เมื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไปแล้ว จะสามารถป้องกันไข้หวัดใหม่สายพันธุ์ใหม่ได้
2. ค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจว่าผู้ป่วยเข้าข่ายติดเชื้อไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือไม่ ต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมากสำหรับผู้มีฐานะยากจน คือประมาณ 4,000-8,000 บาท ดังนั้นจึงควรพิจารณาให้รอบคอบ หรือศึกษาข้อมูลด้วยตัวเองและปรึกษาแพทย์ก่อน


สถานการณ์แพร่ระบาด
วันที่ 12 มิ.ย. 52 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศยกระดับการเตือนภัยไข้หวัดใหญ่ 2009 จากระดับ 5 เป็นระดับ 6 หรือระดับสูงสุดแล้ว ซึ่งหมายถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดไปทั่วโลกแล้ว อีกทั้งยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ ยุโรป อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย เอเชีย และภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้น WHO ได้แนะนำให้บริษัทเวชภัณฑ์ที่ผลิตวัคซีนต่างๆ เร่งผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลให้เสร็จสิ้น ซึ่งจะเสร็จสิ้นภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ก่อนหันไปผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งคาดว่าจะออกสู่ท้องตลาดอย่างเร็วที่สุดเดือนกย.ปีนี้ และ WHO จะเริ่มแจกยาต่อต้านไวรัส “ทามิฟลู” ให้ประเทศต่างๆ อีก 5.65 ล้านชุด เพิ่มเติมจากที่แจกไปแล้ว 5 ล้านชุด


สถานการณ์ในประเทศไทย
ซึ่ง วันที่ 1 พ.ค. 52 นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่าที่ประชุมศูนย์บัญชาการเตรียมความพร้อมป้องกันและควบคุมแก้ไขสถานการณ์การระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ ให้สรุปใช้ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ 2009H1N1 และมีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพื่อให้ง่ายแก่การสื่อสารและสร้างความเข้าใจแก่สาธารณะ
วันที่ 15 มิ.ย.52 ศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ปรับเพิ่มระดับความรุนแรงของโรคดังกล่าวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย จากระดับ B เป็นระดับ C
มาตรการเฝ้าระวัง
สธ.ใช้มาตรการแซนด์วิช คือมาตรการเฝ้าระวังโรคในกลุ่มที่เดินทางมาจากต่างประเทศทุกคนที่ด่านตรวจโรคประจำสนามบิน เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ ได้เพิ่มกำลังแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ประจำการจากวันละ 60 คน เป็นวันละเกือบ 100 คน ตลอด 24 ชั่วโมง และให้มีระบบการเชื่อมโยงส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยในรายที่มีไข้และเดินทางกลับจากต่างประเทศให้พื้นที่ต่างๆ ได้ติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงตามด่านพรมแดนต่างๆ และการค้นหาผู้ป่วยในหมู่บ้านชุมชน และที่โรงพยาบาล คลินิก โรงพยาบาลเอกชน อย่างเข้มแข็ง เพื่อค้นหาผู้ป่วยให้พบอย่างรวดเร็ว ให้การดูแลรักษาและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อให้อยู่ในวงจำกัด
ยาต้านไวรัส
กระทรวงสาธารณะสุขได้มอบหมายให้องค์การเภสชักรรม(อภ.) เจรจากับบริษัทยาในประเทศอินเดียซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบการการผลิตยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ให้ยังคงราคาเดิมเป็นเวลา 1 เดือน เนื่องจากขณะนี้เกิดการระบาดทำให้หลายประเทศสั่งซื้อจำนวนมาก จนราคาวัตถุดิบปรับสูงขึ้น มาตรการด้านสำรองนั้น
เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไวต่อยาโอเซลทามิเวียร์และยาซานามิเวียร์ เพราะยาทั้ง 2 ชนิดนี้ เป็นยาปฏิชีวนะกลุ่มเดียวกันที่ยับยั้งไม่ให้ไวรัสแตกตัว โดยผู้ป่วยที่ติดเชื้อต้องรับยาติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน วันละ 2 ครั้ง และต้องรับยาภายใน 48 ชั่วโมง เมื่อมีอาการ จึงจะได้ผลเต็มประสิทธิภาพ เพียงแต่ยาโอเซลทามิเวียร์เป็นยากินชนิดเม็ด ส่วนยาซานามิเวียร์เป็นยาพ่น
กระทรวงสาธารณสุขปรับมาตรการในการป้องกันโรค
มุ่งเน้นการให้ความรู้ประชาชนให้รู้จักการดูแลตนเองอย่างถูกวิธี คือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ซึ่งมีอาการป่วยเล็กน้อย ให้หยุดพักเพื่อรักษาตัวที่บ้าน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ กินอาหารที่มีประโยชน์ และป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น โดยใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังไอ จาม และหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น แต่หากอาการรุนแรงขึ้น เช่น มีไข้สูง หรือไอมาก หรือหายใจลำบาก ให้ไปรักษาที่โรงพยาบาล
สธ.ออกประกาศฉบับ 7 แนะประชาชนรับมือไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่
วันที่ 13 มิ.ย. 52 ได้ออกคำแนะนำกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 7 เพื่อการป้องกันโรคสำหรับกลุ่มต่างๆ ซึ่งได้ปรับปรุงใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และข้อมูลวิชาการที่ทันสมัย ในคำแนะนำดังกล่าว สำหรับประชาชนทั่วไปเน้นการป้องกันตนเอง ไม่ให้ป่วย และการป้องกันการแพร่เชื้อจากผู้ป่วย สำหรับสถานศึกษา สถานประกอบการ และสถานที่ทำงาน เน้นการให้นักเรียนหรือพนักงานที่มีอาการป่วยหยุดเรียนหรือหยุดงาน เพื่อไม่ให้จำเป็นต้องปิดสถานศึกษาหรือสถานประกอบการ โดยสามารถ ดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.moph.go.th
ทั้งนี้หากประชาชนต้องการข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข http://www.moph.go.th/ หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการ กรมควบคุมโรค หมายเลขโทรศัพท์ 02 -590-3333 และที่ศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข หมายเลข 02-590-1994ตลอด 24 ชั่วโมง
ศิริราชถอดรหัสพันธุกรรมไวรัส ได้
โรงพยาบาลศิริราช แถลงผลสำเร็จการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ครั้งแรกของไทย ซึ่งจะนำไปสู่การวินิจฉัยโรคที่เร็วขึ้นและนำไปสู่การพัฒนาวัคซีนและยาต้านไวรัสสายพันธุ์ H1N1 ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในอนาคต
ทั้งนี้เป็นความสำเร็จจากการตรวจและศึกษาการระบาดของไข้หวัดใหญ่มานานกว่า 30 ปี ซึ่งการตรวจหาเชื้อ H1N1 นั้นโรงพยาบาลศิริราชสามารถตรวจหาได้ภายใน 24 ชั่วโมงและสามารถวิเคราะห์ลำดับนิวคลิโอไทด์เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของเชื้อได้ภายใน 3 วัน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการวิจัยดังกล่าว จะสามรถต่อยอดไปถึงขั้นการผลิตวัคซีนป้องกันได้ แต่คงไม่ทันต่อผลิตวัคซีน เพื่อป้องกันโรคไข้หวัดสายพันธุ์ที่กำลังทีระบาดอยู่ขณะนี้

รพ.รามาพัฒนาชุดตวจเชื้อ all-in-one
วันที่ 15 พ.ค. โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยผลสำเร็จ ในการพัฒนา “ชุดตรวจเชื้อไข้หวัดใหญ่”แบบออล-อิน-วัน ซึ่งสามารถตรวจเชื้อไข้หวัดทุกสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบันได้พร้อมกันในครั้งเดียว โดยรู้ผลภายใน 4 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ไข้หวัดนก(เอช5เอ็น1) ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 (เอช1เอ็น1) รวมถึงเชื้อไวรัสที่ดื้อยา
แพทย์เตือนอย่ากินยาลดไข้ก่อนลงเครื่อง
นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเตือนกลุ่มผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศว่า ไม่ควรกินยาลดไข้ก่อนลงเครื่อง ซึ่งหลายคนกลัวหากมีไข้ จะถูกกักตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะหากป่วยจากเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จริง จะเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต หากไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์ ทั้งยังจะแพร่เชื้อให้คนรอบข้างได้ แต่หากได้รับการรักษาทันเวลา ก็จะหายขาด

สถานการณ์โรคในประเทศไทย
ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2552 ถึงวันที่ 13 กรกฎาคม 2552 เวลา 11.00 น. สํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้รับแจ้งจากสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สํานักงานป้องกันควบคุมโรคเขต โรงพยาบาล สํานักอนามัย กรุงเทพมหานคร และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ข้อมูลทั้งหมดสรุปได้ ดังนี้
1. ผู้ป่วยยืนยันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด A (H1N1) 3,883 ราย
2. ผู้ป่วยยืนยันที่เสียชีวิต จํานวน 21 ราย เป็นเพศชาย 11 ราย หญิง 10 ราย อายุระหว่าง 8-63 ปี (มัธยฐาน 34.14 ปี) อยู่ในกรุงเทพมหานคร 8 ราย ชลบุรี 3 ราย ราชบุรี 2 ราย เพชรบุรี 1 ราย ภูเก็ต 1 ราย นครศรีธรรมราช 1 ราย นนทบุรี 1 ราย พระนครศรีอยุธยา 1 ราย มหาสารคาม 1 ราย สกลนคร 1 ราย สมุทรปราการ 1 ราย
นายอภิสิทธิ์ฯ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ข้อเท็จจริงยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่หลักหมื่นถึงหลักแสน ตัวเลขไม่ใช่สองพัน และทุกประเทศก็มีตัวเลขมากกว่าที่แถลงอยู่ ทุกประเทศใช้การคาดการณ์ตัวเลขทั้งนั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่นักระบาดวิทยาจะนำไปวิเคราะห์ แต่สถานการณ์จริงเกือบทุกประเทศที่มีรายงานและขึ้นเกินหลักร้อยไปแล้ว น่าจะอยู่ที่ประมาณเป็นหมื่นหรือเป็นแสนทั้งนั้น”
ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ก.ค.52 พบผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศรวม 3,883 ราย และพบผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นวันเดียว 3 ราย รวมเสียชีวิตจากไข้หวัดสายพันธ์ใหม่แล้ว 22 ราย






วันที่ 6 ก.ค. 52 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 94,512 รายใน 116 ประเทศ และผู้เสียชีวิตมีจำนวน 429 รายใน 17 ประเทศทั่วโลก
ประเทศ
ผู้ติดเชื้อ
ผู้เสียชีวิต
อเมริกา
27717
127
เม็กซิโก
10262
119
คานาดา
7983
25
สหราชอาณาจักร
7443
3
ชิลี
7376
14
ออสเตรเลีย
5298
10
ไทย
3883
22
อาเจนตินา
2485
60
จีน
2040
0
ญี่ปุ่น
1790
0
ฟิลิปินส์
1709
1
นิวซีแลนด์
1059
3
สิงคโปร์
1055
0
อื่นๆ
15581
56
รวม
94512
432
*ตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศไทยอ้างตามประกาศของกระทรวงสาธารณะสุข

ไข้หวัดใหญ๋สายพันธุ์ใหม่ 2009 ระวังได้ แต่ต้องไม่ระแวง

แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุด กล่าวว่า หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้ยินการประชาสัมพันธ์อย่างหนาหูเกี่ยวกับการให้ความรู้เรื่องการดูแลร่างกายให้แข็งแรงเพื่อที่จะอยู่ร่วมกับเชื้อโรคพันธุ์ใหม่ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ซึ่งก็คงจะถึงเวลาที่ทุกคนจะเริ่มกลับมารักและดูแลตัวเอง ตลอดจนเพื่อนร่วมสังคมกันเสียที เพราะต่อไปอาจจะมีเชื้อโรคพันธุ์ใหม่ๆ เกิดตามมาอีก
แต่เรื่องราวเหล่านี้เราเรียนรู้ได้ และถ้าเราจะลองเฝ้าสังเกตชีวิตของเราทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆกับการเรียนรู้เรื่องการเผชิญโลกอย่างที่โลกเป็นอย่างม่เป็นทุกข์ ก็จะทำให้เราได้บทเรียนร่วมกัน ทั้งนี้ สังคมต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์เรื่องการเฝ้าสังเกตอย่างมีสติให้กว้างขวาง คือในทุกเช้าที่เราตื่ขึ้นมา เราต้องสำรวจร่างกาย เพื่อฝึกกายานุปัสสนาภาวนา ให้เห็นความไม่เที่ยงในการใช้ชีวิตในฝ่ายของกายเราได้สังเกตเห็น
ทว่าในขณะที่สังเกต จิตใจของเราต้องไม่ระแวง เราก็จะเริ่มอยู่กับมันได้อย่างระวัง ซึ่งเป็นการระวังอยู่บนพื้นฐานที่ปราศจากความหวาดกลัว แต่ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วเราระแวงว่าเราจะเป็นโน่นหรือไม่ เราจะเป็นนี่หรือเปล่า ชีวิตของเราในวันนั้นก็จะดำเนินอยู่ด้วยความหวาดกลัว ฉะนั้นเรื่องการมีสติอารักขาจิตที่จะอยู่กับเรื่องที่ต้องเผชิญในโลกของความป็นจริง
ข้าพเจ้าเองก็ได้มีประสบการณ์ของการเฝ้าสังเกตในวันที่ต้องเผชิญกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็พบว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะการเฝ้าสังเกตอย่างมีสตินั้นเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เราอยู่กับความเจ็บป่วยทางกายอย่างระวัง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราที่จะยอมรับในสิ่งที่เราต้องเรียนรู้กับมัน เพราะมันเป็นไวรัสที่เข้ามาอยู่ในร่างกายเรา ถ้าเราใช้ร่างกายของเราอย่างมีสติ ก็จะเห็นว่าสิ่งนี้จะดำรงอยู่ในชีวิตของเราอย่างมีกุศลร่วมกันไปได้ เช่น เมื่อมีอาการปวดเมื่อยทางกาย เราก็รู้ว่ามันปวด แต่ไม่มีความกลัวทางจิตใจของเรา และความปวดนั้นจะค่อยๆคลี่คลายไป ซึ่งเราเข้าใจเหตุปัจจัยแห่งการเกิดของมันอย่างไม่ปรุงแต่งอย่างมีอวิชชาด้วยความกลัว ถ้าเราเฝ้าสังเกตร่างกายของเราให้มากขึ้นด้วยศักยภาพในที่มีความแข็งแรงทางจิตใจที่จะเรียนรู้กับมันแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าเวทนาททางกายก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เราคงต้องบอกให้คนในสังคมอยู่ร่วมกับสิ่งที่ต้องเผชิญอย่างคนที่มีภูมิคุ้มกันด้านในที่ไม่บกพร่อง ยาอาจจะเป็นเครื่องมือที่จะจัดการกับไวรัส แต่สติปัญญาจะเป็นเครื่องมือให้เราอยู่กับไวรัสอย่างเห็นความเปลี่ยนแปลงทางกาย แต่ไม่ทรมานใจ


สั่งหยุดรายงานป่วยตามรายวัน

เมื่อ 14 ก.ค. 52 นายอภิสิทธิ์กล่าวในรายการพิเศษ “ฝ่าภัยไข้หวัดใหญ่ 2009” ทางช่อง สทท. ว่า รัฐบาลใส่ใจเรื่องนี้ซึ่งส่วนตัวแล้วใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงติดตามข้อมูล รวมทั้งดูแนวโน้มตามต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม มีสองเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจ อย่างแรกคือ ทุกคนมีความเสี่ยงเหมือนกันหมด เพราะเป็นเรื่องเกิดใหม่ ไม่มีใครมีภูมิคุ้มกัน เมื่อระบาดแล้ว หลายประเทศประกาศทางการ ว่าไม่สามารถหยุดยั้งได้และเป็นไปได้อย่างสูงว่าโรคนี้จะอยู่กับเราเป็นปีและมีผู้ติดเชื้อมากขึ้น
และอย่างที่สอง เข้าใจว่าประชาชนตำหนิผู้เกี่ยวข้องว่าดำเนินการล่าช้า เนื่องจากเป็นโรคเกิดใหม่จึงต้องรอให้ตกผลึกก่อนและปรับตัวในการแก้ปัญหา
เขากล่าวว่า ขอให้กระทรวงสาธารณสุขทำคู่มือมาตราฐานบอกทุกฝ่ายให้ปฏิบัติตัวอย่างไร แต่เริ่มต้นจากสามัญสำนึกก่อน ทุกคนต้องระวังตัวเอง ดูแลสุขภาพอนามัยปกติ สมมติมีอาการเป็นไข้ มีไข้สูง ทานยาแล้วไข้ไม่ลด ต้องรีบไปหาหมอ หรือมีอาการบางอย่าง เช่นปวดตัว ท้องเสีย เป็นสัญญาณที่ต้องไปพบแพทย์
“ส่วนปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการตรวจเชื้อหวัดนั้น เห็นว่าคนไทยทุกคนมีสิทธิทางใดทางหนึ่งควบคุมโรคนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิทธิข้าราชการ สิทธิประกันสังคม หริสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า ถ้าแพทย์ตัดสินใจส่งเชื้อไปตรวจ ผู้ป่วยจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ถ้าเป็นความต้องการของผู้ป่วยเอง ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย”
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้าบังคับให้ประชาชนทุกคนใส่หน้ากาก ซึ่งต้องเปลี่ยนอยู่บ่อยๆ รัฐบาลต้องซื้อแจก แต่ต้องยอมรับว่ารัฐบาลไม่สามารถซื้อหน้ากากแจก 63 ล้านคนได้
ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าหน่วยไวรัสวิทยาและจุลชีวโมเลกุล คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ตัวอย่างผู้ป่วยส่งตรวจที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ประมาณ 10,000 ตัวอย่าง เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ถึง 80% ส่วนอีก 20% เป็นไข้หวัดตามฤดูกาล
ดร.วสันต์ กล่าวต่อว่า นอกจากการให้บริการตรวจยืนยันโรคแล้ว โรงพยาบาลรามาธิบดียังมีการตรวจการดื้อยาและถอดรหัสพันธุกรมมเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ พบว่าปัจจุบันยังไม่มีการดื้อยา อาจเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาการใช้ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ในประเทศไทยยังไม่มีการใช้มากเหมือนในต่างประเทศ แต่เชื่อว่าหลังจากนี้ประมาณ 3-6 เดิอนอาจพบการดื้อยาเกิดขึ้น ซึ่งเป็นธรรมชาติขิงไวรัส แต่ในขณะนี้ในสหรัฐมีการดื้อต่อโอเซลทามิเวียร์ประมาณ 80-90% แล้ว
ขณะที่ นายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า จะเสนอให้ ครม.ทุกคนใส่หน้ากากอนามัยเข้าร่วมประชุม ครม.ทุกครั้ง เพื่อเป็นแบบอย่างรณรงค์ให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัย เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโรคไข้หวัด 2009 ซึ่งเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่ ครม.ควรเป็นแบบอย่างรณรงค์ให้คนไทยใส่หน้ากากอนามัยตามสถานที่ต่างๆ เช่นโรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า โดยจะประสานงานไปยังกระทรวงมหาดไทย ให้กลุ่มโอทอปผลิตหน้ากากอนามัยที่ทำจากผ้ามาแจกให้ประชาชนต่อไป ส่วรการตรวจหาเชื้อไข้หวัด 2009นั้น จะให้โรงพยาบาลเอกชนคิดค่าตรวจอยู่ที่ 3,500 บาทต่อตัวอย่างเท่านั้น ส่วนโรงพยาบาลรัฐจะให้ตรวจฟรี
จากนั้น นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม.ว่า ครม.อนุมัติงบประมาณ 850 ล้านบาท เพื่อสั่งซื้อยาโอเซทามิเวียร์ 10 ล้านเม็ด วงเงิน 250 ล้านบาท พร้อมกับสั่งจองวัคซีนป้องกันไข้หวัด จากบริษัทซาโนฟีปาสเตอร์ จำกัด จำนวน 2 ล้านโดส วงเงิน 600 ล้านบาท โดยกำหนดส่งมองวัคซีนไนเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2552 ภายใต้เงื่อนไขว่า บริษัทดังกล่าวไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบในผลิตภัณฑ์กรณีหากเกิดผลข้างคียงจากการใช้วัคซีน เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตแจ้งว่า วัคซีนนี้ผลิตเพื่อใช้ในสถานการณืฉุกเฉิน มีประเทศสั่งจองจำนวนมาก ซึ่งต้องมีการผลิตยาจำนวนมาก จึงไม่ขอรับผิดชอบหากเกิดผลข้างเคียง
นพ.ภูมินทร์กล่าวว่า ช่วงที่ยังไม่มีการส่งมอบวัคซีนนี้มายังประเทศไทย จะมรการทดลองใช้วัคซีนนี้ในยุโรปไปเรื่อยๆ คาดว่ากว่าที่วัคซีนจะมาถึงเมืองไทยคงทราบแล้วว่าจะมีผลข้างเคียงหรือไม่ ทั้งนี้โดยทางการแพทย์แล้ว พบว่าวัคซีนทั่วไปมีความเสี่ยงจะเกิดผลข้างเคียงในอัตรา 1 ต่อล้าน มีตั้งแต่เป็นผดผื่นจนถึงพิการเสียชีวิต แต่วัคซีนนี้ยังไม่มีใครทราบว่าจะมีความเสี่ยงหรือมีผลข้างเคียงอย่างไร แต่ที่ผ่านมาสหรัฐฯเคยใช้วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์อื่นมาใช้กับคน พบว่ามีผลข้างเคียงให้คนเป็นอัมพฤกษ์กว่า 100 คน ถือว่าเป็นฝันร้ายที่ต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การประกาศตัวเลขผู้ติดเชื้อ ทางกระทรวงสาธารณสุขกำลังปรึกษากับองค์การอนามัยโลกอยู่ และตนเข้าใจว่าในสังคมไทยถ้าไม่ประกาศตัวเลขจะมีคนไปตีความว่าเราอยากจะปิดบัง วันนี้ ครม. ได้มีการอนุมัติเงินงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อซื้อยารักษาจำนวน 250 ล้านบาท จะได้ยา 1 ชุด จำนวน 10 ล้านเม็ด และอนุมัติงบประมาณในหลักการให้ซื้อวัคซีนอีก 600 ล้านบาท ซึ่งน่าจะนำเข้ามาได้ในประมาณเดือน ต.ค.นี้
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้ที่เน้นย้ำคือการไปรับการรักษาอย่างรวดเร็วในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ คนมีโรคประจำตัวโดยเฉพาะโรคอ้วน และมีการค้นพบเพิ่มเติมคิอไวรัสไข้หวัดใหญ่ตัวนี้จะเข้าไปทำลายและมีปัญหากับระบบทางเดินหายใจเร็วกว่าไข้หวัดใหญ่ธรรมดา ไข้สูงต้องรีบไปหาแพทย์ เพราะหลายกรณีที่เข้าไปในปอดแล้วอาการจะหนัก
ต่อมา นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยความคืบหน้าสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ว่า ตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.-14 ก.ค. 2552 มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ รวมทั้งสอ้น 4,057 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย รวมทั้งหมด 24 ราย เฉพาะในวันนี้ได้รับการรายงานผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการพบติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ เพิ่ม 176 ราย
น.พ.ไกรจักร แก้วนิล รองปลัด กทม. ที่สั่งให้โรงพยาบาลที่สังกัด กทม. ให้ยาทามิฟลู แก่ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา โดยไม่ต้องรอผลยืนยันการตรวจเสียก่อนว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 หรือไม่ เหมือนอย่างที่กระทรวงสาธารณสุขทำ เพื่อป้องกันการติดโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อที่ปอด นี่คือวิธีการรับมือที่ถูกต้อง ป้องกันด้วยและรักษาด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ตายเสียก่อนแล้วโทษว่าเป็นโรคแทรกซ้อน
ส่วนสถานการณืทั่วโลก นางมารี-ปอล คีนี ผู้อพนวยการด้านวิจัยวัคซีนขององค์การอนามัยโลก (ฮู) กล่าวว่า ขณะนี้การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ไม่สามารถหยุดยั้งได้แล้วและทุกประเทศจำเป็ฯต้องมีวัคซีนเอาไว้ป้องกันตัวเอง โดยคำกล่าวนี้มีขึ้นในช่วงที่อังกฤษ บราซิล โคลัมเบีย เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ และประเทศไทยต่างมีรายงานผู้เสียชีวิตพร้อมกันกว่า 10 คน เมื่อวันจันทร์
นางมารี กล่าวอีกว่า วัคซีนป้องกันหวัดชนิดนี้ ควรมีใช้อย่างเร็วที่สุดในเดือนกันยายน และทุกประเทศจำเป็นต้องมีวัคซีนไว้เพื่อป้องกันตัวเอง โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขคือคนกลุ่มแรกที่ควรได้รับวัคซีน เพราะคนกลุ่มนี้จะป็นที่ต้องการมากขึ้นหากมีคนติดเชื่อไม่หยุด ส่วนกลุ่มคนสำคัญกลุ่มอื่นๆ ควรเป็นกลุ่มหญิงท้อง หรือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป
สถิติล่าสุดขององค์การอนามัยโลกระบุว่า พบผู้ป่วยแล้วไม่ต่ำกว่า 9 หมื่นคนทั่วโลก ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 429 คน ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง โดยประเทศที่พบผู้เสียชีวิตรายใหม่มากที่สุดอยู่ในเอเชีย ได้แก่ ประเทศไทย 3 คน และฟิลิปปินส์อีก 2 คน ขณะที่มีเม็กซิโกเสียชีวิตเพิ่มอีก 3 คน ส่งผลให้ยอดเสียชีวิตรวมในแดนจังโก้อยู่ที่ 124 คน ส่วนประเทศต้องเตรียมตัวรับมือกับผู้คนมากถึง 2 ล้านคน ที่เตรียมตัวเดินทางไปแสวงบุญในนครเมกกะ และเมืองเมดินาในอีก 5 เดือนข้างหน้า
แหล่งข้อมูลการติดต่อเพื่อปรึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่

กรุงเทพมหานคร ติดต่อได้ที่ กองควบคุมโรค สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0 2245 8106, 0 2246 0358 และ 0 2354 1836
ต่างจังหวัด ติดต่อได้ที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง:
สหรัฐฯเปลี่ยนเรียกไข้หวัดใหญ่ 2009 H1N1″แทน”หวัดหมู วันนี้(30 เม.ย.) นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า 5 คนไทยที่เพิ่งเดินทางกลับจากประเทศเม็กซิโก ทางกระทรวงสาธารณสุขให้เจ้าหน้าที่แพทย์ตรวจอาการเบื้องต้นทั้ง 5...
ฐานะการเงินของประเทศต่ำมาก ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญร่าง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี ๒๕๕๒ ซึ่งมีนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมตรีว่ากระทรวงการคลังเป็นประธานในที่ประชุม เมื่อวานนี้( ๓๐...
ทุ่ม 7.6 หมื่นล้านพัฒนาใต้ 5 จังหวัด เมื่อวานนี้ (25 มี.ค.) ที่อาคารรัฐสภา 3 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคณะรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น