วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

วิธีการดูแลร่างกาย









วิธีการดูแลร่างกาย
การที่ดำรงชีวิตได้อย่างมีความหมายนั้น นอกจากจะต้องมีร่างกายที่แข็งแรงแล้ว ยังต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งสมบูรณ์อีกด้วยเมื่อร่างกายและจิตใจสมบูรณ์ดีแล้ว จึงจะมีชีวิตที่สวยสดงดงามอย่างแท้จริง
ควบคุมดูแลลมปราณให้ไหลเวียนสะดวก หล่อเลี้ยงปรับสภาพร่างกายให้สมดุล ดำรงจิตใจให้เรียบสงบ น้ำลายเป็นของล้ำค่าแห่งกาย เมื่อของล้ำค่ามารวมกันก็จะกลายเป็นเศรษฐี เมื่อของล้ำค่ากระจัดกระจายก็จะกลายเป็นยาจก
เสียใจก่อนแล้วมีความสุขภายหลัง กิเลสตัณหาเบาบางย่อมสามารถหล่อเลี้ยงลมปราณได้
การยังชีพก็มิรู้สู้ประหยัดใช้ การดูแลร่างกายก็มิสู้การละลดกิเลสตัณหาให้น้อยลง
อย่ามัวแต่หยุดพักผ่อนเพื่อหาความสุข อย่าไปทุกข์กังวลเพราะมัวแต่เสาะแสวงหาจนเกินเลย
อย่าบังเกิดจิตใจที่คิดร้ายผู้อื่น อย่าใช้คำพูดประจบสอพลอหลุดออกมาจากปาก
ร่างกายที่แข็งแรงจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของจิตใจที่เข้มแข็งมั่นคง มิฉะนั้นจะก่อให้เกิดเหตุการณ์ทารุณขึ้นในสังคม ยิ่งทำให้โลกไม่สงบสุข
สิ่งที่ได้พบเห็นมากระจ่างชัดแต่กลับไม่แสดงออกถึงสิ่งที่ตนรู้
สิ่งที่รู้ได้สดับรับฟังมาอย่างชัดเจนแต่ไม่เก็บใส่ใจ
จิตใจที่เคยมีความรักความเมตตามา กลับไม่สนใจ
หากมีจิตใจโอบอ้อมอารี ตนเองก็จะพบความสุขที่แท้ จริง ไร้กิเลสไร้ความอยากจึงจะเป็นความสุขแห่งธรรมทุกขณะความคิดไม่บังเกิดก็จะสงบนิ่งเองโดยธรรมชาติไม่มีเรื่องราวค้างคาในจิตใจ ก็จะสามารถสงบได้นาน มีความเคารพในจิตใจ ก็จะเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง รักษาความเป็นหนึ่งเสริมสร้างความสมานฉันท์
หากจิตใจสงบนิ่ง ลมปราณจิตใจจะรวมเป็นธรรม มนุษย์มีสังขาร เมื่อลมหายใจสิ้นก็คือตาย จิตใจไม่วอกแวก จะได้ไม่ ต้องเหนื่อย ล้า
พลังใจถูกทำลาย ร่างกายจิตใจต้องแตกกระเจิง จิตใจสงบเกิดสติปัญญา จิตใจเคลื่อนไหว เกิดความเลอะเลือน
ใจรวมกับธรรม สัมผัสสิ่งใดก็ไม่หวั่นไหว หากร่างกาย สงบนิ่งจิตใจว่างเปล่า ก็จะพิจารณาได้ถึงความแยบยล
เคราะห์ภัยจะไม่หนักหนา ถ้ารู้จักควบคุมกิเลสตน ภัยจากกามกิเลสรูปนารีจะนำพาให้ถึงคุกตาราง
จะได้รับหรือไม่ได้รับ จิตใจก็คงจะสงบสบาย ร่างกายจิตใจรวมเป็นหนึ่ง จึงจะเป็นกายแท้ร่างกายจิตใจผสมผสานเสริมสร้างกัน ร่างกายจิตใจรวมกันเป็นหนึ่งจึงจะสามารถคงอยู่ชั่วนิรันดร์
หลังดื่มสุรางดพูดจา ระวังดูแลเรื่องเวลารับประทานอาหารจะบริโภคหรือสวมใส่ จะต้องดูแลร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ
การชำระใจ คือเจ การป้องกันภัย คือศีล คำพูดที่ทำร้ายผู้คนนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าคมหอกคมดาบทิ่มแทงนับหมื่นเล่ม
ไม่อยากให้คนอื่นได้ยินก็จงอย่าพูด ไม่อยากให้คนอื่นรู้ก็จงอย่ากระทำ
น้ำมันหมดทำให้ตะเกียงดับ ไขข้อเนื้อเยื่อทรุดโทรมที่สุดคนก็ตาย เติมน้ำมันตะเกียงก็จะได้ลุกโชน บำรุงไขข้อเนื้อเยื่อ คนก็แข็งแกร่ง
พึ่งพาคนร่ำรวย คือยากจน พึ่งพาคนสูงศักดิ์ คือ ต่ำต้อยพึ่งพาผู้แข็งแกร่ง คืออ่อนแอ พึ่งพาคนฉลาด คือคนโง่
ความดีเล็กน้อยสะสม ก็ไม่อาจบรรลุมหาบารมี ความชั่วเล็กน้อยไม่ยุติ มหันตภัยก็จะถามหา
มีอารมณ์แจ่มใสเบิกบาน แต่ไม่มีร่างกายที่แข็งแรง ก็ไม่สามารถที่จะดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข ฉะนั้นจึงต้องให้ความใส่ใจในการดูแลสุขภาพกายและใจออกกำลังกายเพื่อจะได้ไร้โรคภัย
มีร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า โรคภัยก็หนีหาย
ความโกรธเหมือนเพลิงไฟ คอยเผาไหม้ทำร้ายตนความ
โกรธแค้นเหมือนไฟโหม
ผลประโยชน์ความทะยานอยากเหมือนคมอาวุธ
เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียกัน ก็มิสู้ดำรงอยู่อย่างสงบ
หล่อเลี้ยงญาณลมปราณสมบูรณ์
รักษาจิตใจร่างกายให้สบาย ใจสงบก็จะมีชีวิตซีวา
เมื่อมีชีวิตชีวาวาสนาก็ก่อเกิด
ความอดทนเป็นมิติแห่งใจ ไม่อดทน จะนำภัยมาสู่ตัว
ไม่โลภ ความกังวลก็จะน้อย ไม่สะสมก็ไม่มีการสูญเสีย สบายอกสบายใจไร้กังวล สงบนิ่งไร้ครุ่นคิด
ภัยเกิดจากเหตุเล็ก โรคภัยไข้เจ็บ
เกิดจากอาการเพียงเล็กน้อย
ไม่มีเคราะห์ภัยใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าความตาย
ไม่มีวาสนาใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าเกิดเป็นคนและได้รับวิถีธรรม
กลั่นแกล้งฟ้าดิน ต้องพบกับความอัปมงคล
คล้อยตามฟ้าย่อมพบกับศิริมงคล
บำเพ็ญวาสนา ย่อมได้รับผลดีตอบสนอง
กระทำความชั่วเคราะห์ภัยถามหา
เสาะหาวาสนา ก่อนจะนิมิต ยุติเคราะห์ภัยก่อนจะเกิด
จะป้องกันเภทภัย จะต้องป้องกันระวังการกระทำ
จะรักษาโรคภัย จะต้องหลีกหนีเสียแต่แรกเป็นดี
วาสนาก่อนเคราะห์ภัย
ผลประโยชน์เป็นบ่อเกิดความหายนะ
วาสนาเกิดได้ด้วยความบริสุทธิ์มัธยัสถ์
บารมีเกิดได้ด้วยการรู้จักยอมต่ำต้อยผ่อนปรน
ธรรมเกิดได้ด้วยความสงบ ชีวิตเกิดได้ด้วยความสมานฉันท์

Oo ____ ขวัณใจ SF oO___OO
















การฝึกสมาธิเบื้องต้น











สมาธิคือการที่มีใจตั้งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งอย่างแน่วแน่ กล่าวในภาษาชาวบ้านก็คือ การมีใจจดจ่ออยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านนั่นเอง การทำสมาธิแบบนี้ไม่ได้เน้นการเข้าถึงนิพพาน หรือความสิ้นไปของอาสวะ แต่ก็เป็นพื้นฐานที่ดีหากต้องการปฏิบัติต่อไปในขั้นสูง หากแต่มีประโยชน์ที่เห็นได้ทันทีก็ได้จากในชีวิตประจำวัน ทำให้เรามีจิตใจผ่องใส ประกอบกิจการงานได้ราบรื่นและคิดอะไรก็รวดเร็วทะลุปรุโปร่ง เพราะว่าระดับจิตใจได้ถูกฝึกมาให้มีความนิ่งดีแล้ว เมื่อมีความนิ่งเป็นสมาธิดีแล้ว ย่อมมีพลังแรงกว่าใจที่ไม่มีสมาธิ ดังนี้เมื่อจะคิดทำอะไร ก็จะทำได้ดี และได้เร็วกว่าคนปกติ ที่ไม่ได้ผ่านการฝึกสมาธิมาก่อน วิธีการทำสมาธิที่ได้ผลและเป็นที่นิยม ได้ถูกนำมากล่าวแนะนำไว้ในที่นี้แล้ว เริ่มตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน และขั้นตอนต่างๆ โดยท่านสามารถอ่านทีละหัวข้อตามลำดับดังต่อไปนี้
การจะทำสมาธิสามารถทำได้ทุกขณะอิริยาบถ ข้อแนะนำและการเตรียมตัวก่อนการทำสมาธิ การทำสมาธิโดยการนับเพื่อฝึกการควบคุมจิต
๑.การทำสมาธิสามารถทำได้ทุกขณะอิริยาบถ ท่านพ่อลี (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร) พระสายธุดงที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งแห่งภาคอีสาน ได้เคยให้คำอธิบายวิธีการทำสมาธิในชีวิตประจำวัน เวลาที่จะทำสมาธินั้นท่านได้อธิบายอย่างง่ายๆไว้ว่าทำได้ทั้งยืน เดิน นั่ง และนอน ในอิริยบททั้ง ๔ นี้เมื่อใดที่ใจเป็นสมาธิก็ถือว่าเป็นภาวนามัยกุศล ซึ่งถือเป็นกุศลกรรมสิทธิ์เฉพาะตัว ถือว่าได้บุญด้วยอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงพอสรุปจากคำแนะนำของท่านไว้ได้ดังนี้คือ การยืน ทำโดยยืนให้ตรง วางมือขวาทับมือซ้าย คว่ำมือทั้งสอง หลับตาหรือลืมตาสุดแท้แต่จะสะดวกในการทำ แล้วเพ่งไปที่คำว่า พุทโธ จนจิตตั้งมั่นได้ การเดิน เรียกว่าเดินจงกรม ให้กำหนดความสั้น ความยาว ของเส้นทางที่จะเดินสุดแท้แต่เราเอง ควรจะหาสถานที่ และเวลาที่เหมาะสม ไม่อึกทึกครึกโครม และไม่มีสิ่งรบกวนจากรอบข้าง นอกจากนั้นที่ที่จะเดินไม่ควรสูงๆ ต่ำๆ แต่ควรเรียบเสมอกัน เมื่อหาสถานที่และเวลาที่เหมาะสมได้แล้วก็ตั้งสติ อย่าเงยหน้าหรือก้มหน้านัก ให้สำรวมสายตาให้ทอดลงพอดี วางมือทั้งสองลงข้างหน้าทับกันเหมือนกับยืน การเดินแต่ละก้าวก็ให้จิตตั้งมั่นอยู่กับคำบริกรรมว่า พุทโธ โดยเดินอย่างสำรวม ช้าๆ ไม่เร่งรีบ กำหนดรู้ในใจ การนั่ง คือนั่งให้สบาย แล้วเพ่งเอาจิตไปที่การบริกรรมคำว่า พุทโธ ท่องภาวนาไว้เป็นอารมณ์ให้กำหนดรู้อยู่ในใจ การนอน คือให้นอนตะแคงข้างขวา เอามือขวาวางรองศีรษะ ยืดมือซ้ายไปตามตัว ไม่นอนขด นอนคว่ำ หรือนอนหงาย แล้วก็สำรวมสติตั้งมั่นด้วยการภาวนาคำว่า พุทโธ ให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว เช่นเดียวกัน
๒.ข้อแนะนำและการเตรียมตัวก่อนการทำสมาธิ ๒.๑ การหาเวลาที่เหมาะสม เช่นไม่ใช่เวลาใกล้เที่ยงเป็นต้นจะทำให้หิวข้าว หรือทำใกล้เวลาอาหาร และไม่ทานอิ่มเกินไปเพราะจะทำให้ง่วงนอน หรือเวลาที่คนในบ้านยังมีกิจกรรมอยู่ ยังไม่หลับเป็นต้น ๒.๒ การหาสถานที่ที่เหมาะสม ไม่ใช่ที่อึกทึก นอกจากได้สมาธิในขั้นต้นแล้ว และต้องการฝึกการเข้าสมาธิในที่อึกทึก ๒.๓ เสร็จจากธุระภาระกิจต่างๆ และกิจวัตรประจำวันแล้ว เช่นหลังจากอาบน้ำแล้ว ขับถ่ายเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้มีนัดหมายกับใครแล้วเป็นต้น ๒.๔ อยู่ในอาการที่สบาย คือการเลือกท่านั่งที่สบาย ท่าที่จะทำให้อยู่นิ่งๆ ได้นานโดยไม่ปวดเมื่อยและเกิดเหน็บชา อาจจะไม่ใช่การนั่งขัดสมาธิก็ได้ แต่การนั่งขัดสมาธิถ้าทำได้ถูกท่าและชินแล้ว จะเป็นท่าที่ทำให้นั่งได้นานที่สุด อย่างไรก็ตามไม่ควรอยู่ในท่าเอนหลังหรือนอน เพราะความง่วงจะเป็นอุปสรรค เมื่อร่างกายได้ขนานกับพื้นโลกจะทำให้ระบบของร่างกายพักการทำงานโดยอัตโนมัติ ทำให้ต้องใช้กำลังใจในการทำสมาธิมากกว่าการนั่ง ๒.๕ ไม่ควรนึกถึงผล หรือปรารถนาในลำดับชั้นของการนั่งในแต่ละครั้ง เช่นว่าจะต้องเห็นโน่นเห็นนี่ให้ได้ในคืนนี้เป็นต้น เพราะจะเป็นการสร้างความกดดันทางใจโดยไม่รู้ตัว และเกิดความกระวนกระวายทำให้ใจไม่เกิดสมาธิ ใจไม่นิ่ง ต้องทำใจให้ว่างมากที่สุด ๒.๖ ตั้งเป้าหมายในการนั่งแต่ละครั้ง เช่นตั้งใจว่าจะต้องนั่งให้ครบ ๑๕ นาทีก็ต้องทำให้ได้เป็นต้น และพยายามขยายเวลาให้นานออกไป เมื่อเริ่มฝึกไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว เพื่อให้สมาธิได้สงบนิ่งได้นานยิ่งขึ้น ๒.๗ เมื่อได้เริ่มแล้วก็ให้ทำทุกวันจนเกิดความเคยชินเป็นนิสัยติดตัว เพราะว่าการทำสมาธิต้องอาศัยความเพียรในการฝึกฝน เพื่อให้เกิดความเคยชินและชำนาญ การที่นานๆทำสักครั้ง ก็เหมือนกับการมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
๓.การทำสมาธิโดยการนับเพื่อฝึกการควบคุมจิต การทำสมาธิโดยวิธีนี้นั้นมีหลักการนับอยู่หลายวิธี และแต่ละวิธีก็ล้วนแต่มีจุดหมายเดียวกันคือ เป็นอุบายหลอกล่อให้จิตตั้งมั่นอยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลานานได้ ทำให้เราเรียนรู้ที่จะเป็นนายของจิต ควบคุมมันได้ วิธีนับแบบต่างๆพอกล่าวโดยย่อได้ดังต่อไปนี้คือ ๓.๑ นับโดยการบวกเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ๓.๒ นับลมแบบอรรถกถา ๓.๓ นับทวนขึ้นทวนลง ๓.๔ นับวน * ๓.๑ การนับโดยการบวกเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ทีละหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น พอหายใจเข้าก็นับหนึ่ง พอหายใจออกก็นับสอง หายใจเข้าต่อไปก็นับสาม และหายใจออกต่อไปก็นับสี่ บวกเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆทีละหนึ่ง ตัวเลขที่นับมันก็จะไม่รู้จบ แต่ท่านอาจจะกำหนดตัวเลขจำนวนสูงสุดก็ได้ อาทิเช่นพอถึงหนึ่งร้อย ก็เริ่มนับหนึ่งใหม่เป็นต้น คงไม่ต้องยกตัวอย่าง วิธีนี้เป็นวิธีเริ่มต้นที่ง่าย และใช้สมาธิไม่มากนัก เพราะเหตุที่เราคุ้นเคยกับการนับในชีวิตประจำวันอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ เพียงแต่เอาการนับมาควบเข้ากับจังหวะการหายใจเข้า-ออก เพื่อให้มีจิตรู้ตัวอยู่เสมอนั่นเอง ๓.๒ การนับลมแบบอรรถกถา เป็นวิธีของท่านพระอรรถกถาจารย์ ที่ได้นำเอาตัวเลข มาเป็นเครื่องกำหนดร่วมกับการกำหนดลมหายใจ ตามหลักคำสอนของท่านพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากหนังสือพุทธธรรม ของพระราชวรมุนี หน้า (๘๖๕) หลักการนับแบบนี้ช่วยฝึกให้ใจมีสมาธิจดจ่อมากกว่าวิธีแรก วิธีนับมีสองแบบ แบบแรกให้นับเป็นคู่ คือเมื่อหายใจเข้า ก็ให้นับว่า ๑ เมื่อหายใจออกให้นับว่า ๑ พอเที่ยวต่อไปหายใจเข้าให้นับว่า ๒ หายใจออกก็ให้นับว่า ๒ สรุปก็คือลมหายใจเข้าและออกถือเป็นหนึ่งครั้ง จนถึงคู่ที่ ๕ ก็ให้ตั้งต้นมานับ ๑ ไปใหม่จนถึงเลข ๖ ก็ให้มาตั้งต้นนับ ๑ ไปจนถึง ๗ ถึง ๘ ถึง ๙ และ ๑๐ แล้วตั้งต้นนับ ๑ ไปจนถึง ๕ และนับต่อไปถึง ๑๐ อีก ลองศึกษาดูที่ตารางข้างล่างนี้เพื่อทำความเข้าใจอีกครั้ง แบบนับเป็นคู่พร้อมกับลมหายใจ เช่น (๑-๑) หนึ่งตัวแรกคือลมหายใจครั้งที่ ๑ หนึ่งตัวที่สองคือการนับ
อีกแบบหนึ่งคือการนับเดี่ยว นับแต่ตัวเลขอย่างเดียว ไม่ต้องคำนึงว่าเป็นลมหายใจเข้าหรือออก แต่ท่านควรจะทำแบบแรกให้คล่องเสียก่อน แล้วจึงมาลองแบบที่สองนี้ ลองศึกษาทำความเข้าใจกับตารางข้างล่างนี้สำหรับการนับเดี่ยว

ทั้งสองแบบนี้ใช้วิธีการนับทวนไปทวนมา จนกระทั่งเราเกิดสมาธิ อย่างไรก็ตามขอให้ถือหลักความเพียรเข้าไว้ วันนี้ใจยังว้าวุ่นอยู่ก็ไม่เป็นไร ลองพรุ่งนี้อีกที ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสงบใจให้เชื่องอยู่ใตับังคับบัญชาของเรา และเมื่อนั้นแหละคุณภาพทางจิตและร่างกายของท่านได้ถูกพัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่งแล้ว แบบนับลมเป็นคู่ วิธีนี้จะง่ายกว่าแบบอรรถกถาข้างต้นเล็กน้อย เพราะว่าให้เริ่มนับไปได้เลย วิธีมีดังนี้คือ แบบนับตามลม เวลาหายใจเข้า ก็ให้กำหนดลมหายใจที่เข้ามากระทบไว้ที่ปลายจมูก หรือโพรงจมูกด้านใน ตรงที่รู้สึกว่าลมกระทบตรงนั้น แล้วเริ่มต้นนับหนึ่งในใจ แล้วก็เอาใจตามลมหายใจเข้ามาจนผ่านปอด ให้ความรู้สึกว่าไปสุดปลายที่ท้องเลยทีเดียว ถึงตรงนี้ก็คือถือเป็นสิ้นสุดการหายใจเข้า เวลาหายใจออก ก็ให้ต้นลมอยู่บริเวณท้องแล้วก็นับหนึ่งใหม่ในใจ พร้อมกับหายใจออก
เพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้น ให้ศึกษาดูจากตารางนี้อีกเที่ยวหนึ่ง































การใช้ยาลดความอ้วน





การใช้ยาลดความอ้วน
ยาลดความอ้วนที่ใช้กันส่วนใหญ่จะเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ยาควบคุมพิเศษ และยาอันตราย ที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง โดยการไปลดความอยากอาหาร เป็นยาที่มีผลทำให้เกิดการเบื่ออาหาร หรือที่เรียกว่า Anorectic Drugs มีอนุพันธ์ของยาแอมเฟตามีน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่ายาม้า การใช้ยาลดความอ้วนต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะยาเหล่านี้ อาจทำให้เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ได้ เช่น
1.พิษจากการใช้ยา เกิดจากการใช้ยาเกินขนาด ผู้ใช้จะมีอาการตื่นเต้น สับสน ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ มีอาการทางจิต ได้ยินเสียงหรือภาพหลอน ในรายที่รุนแรงพบว่าจะมีไข้สูง เจ็บหน้าอก การไหลเวียนของเลือดล้มเหลว ชัก และอาจตายได้
2.ความทนต่อยา ยาลดความอ้วนหลายตัว เมื่อใช้ไป 6-12 สัปดาห์ ร่างกายจะทนต่อยาเพิ่มขึ้น (หรือเรียกว่าดื้อยา) เมื่อเกิดความทนต่อยา ผู้ใช้ไม่ควรเพิ่มขนาดของยาให้สูงขึ้น เพราะอาจเกิดพิษอันเนื่องมาจากการใช้ยาเกินขนาด
3.การติดยา เมื่อผู้ใช้ยากเป็นประจำจะทำให้เกิดการเสพติด ซึ่งหากหยุดทันทีจะเกิดอาการทางจิตที่เห็นได้ชัดคือ จะรู้สึกอยากอาหารเพิ่มขึ้น และมีอาการซึมเศร้า
4.การใช้ยาในทางที่ผิด เพราะยาพวกนี้จะทำให้ผู้ใช้เคลิบเคลิ้มเป็นสุข จึงอาจทำให้มีการนำยาไปใช้ทางที่ผิดได้
การใช้ยาลดความอ้วน หากใช้ติดต่อกัน 4-6 สัปดาห์ แล้วยังไม่เห็นผลก็ควรเลิกใช้ หรือถึงแม้จะเห็นผลก็ไม่ควรใช้ติดต่อกันตลอด เพราะอาจทำให้ติดยา นอกจากนี้ยังมียากลุ่มอื่น ๆ ที่มีการนำมาใช้ลดความอ้วน เช่น
ยาลดน้ำตาลในเลือด ยาจะลดการดูดซึมคาร์โบไฮเดรต และเพิ่มการใช้กลูโคส จะใช้ลดน้ำหนักในคนที่เป็นโรคเบาหวาน ส่วนผลในคนปกติยังไม่แน่นอน และอาจเกิดผลข้างเคียงจากยาได้ เช่น ปวดศีรษะ มึนงง ชาตามปลายมือปลายเท้า เป็นต้น
ยาเพิ่มกากในลำไส้ ยาพวกนี้จะพองตัวในท้องทำให้รู้สึกอิ่ม แต่ถ้าใช้ปริมาณมาก ๆ อาจทำให้ลำไส้อุดตัน
ยาระบายหรือยาถ่าย การใช้ในขนาดสูง ทำให้ท้องเดินและขาดน้ำ เป็นผลให้น้ำหนักลดในช่วงที่ใช้ยา แต่หากใช้ไปนาน ๆ จะเป็นอันตรายต่อร่างกายเพราะร่างกายขาดสารอาหาร ขาดแร่ธาตุที่จำเป็น และขาดน้ำอย่างรุนแรง
จะเห็นได้ว่ายาที่ใช้ลดความอ้วนเหล่านี้ ล้วนมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ไม่ควรเสี่ยงนำมาใช้ แต่ถ้าอยากลดความอ้วนอย่างปลอดภัย แนะนำให้ใช้วิธีการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ซึ่งการควบคุมอาหารนี้ไม่ได้หมายถึงการอดอาหาร แต่เป็นการควบคุมให้ปริมาณแคลอรี่ที่รับเข้าไปสมดุลกับที่ถูกนำมาใช้ โดยลดอาหารที่เกินความต้องการประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ลองฝึกการกินให้เป็นเวลา วันละ 3 มื้อ ไม่กินพร่ำเพรื่อระหว่างมือ กินให้ช้าลงโดยเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน เพราะการกินเร็วจะทำให้กินได้มากขึ้น
แต่เนื่องด้วยภาวการณ์ดำเนินชีวิตในปัจจุบันเป็นไปด้วยความเร่งรีบ เวลาส่วนหนึ่งหมดไปกับการเดินทางระหว่างบ้านกับที่ทำงาน ไม่มีเวลาเหลือพอสำหรับการออกกำลังกาย การควบคุมอาหารก็ทำได้ยาก จึงเหลือวิธีสุดท้ายสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน คือการใช้อาหารลดน้ำหนัก

Ran ____ สวยระห่ำ___ o O




Oo_____ขวัญใจเกมส์ Ran __oO











วิธีลดความอ้วน วิธีลดน้ำหนัก





วิธีลดความอ้วน วิธีลดน้ำหนัก
ลดความอ้วน, ลดน้ำหนัก, วิธีลดความอ้วน, วิธีลดน้ำหนัก
ผู้สนับสนุน
,การลดน้ำหนักแบบธรรมชาติ
1.ไม่กินข้าวมื้อเย็น วิธีนี้เหมาะจะเป็นบันไดขั้นแรกสู่สูตรต่อๆ ไป โดยในมื้อเช้าและกลางวันสามารถกินได้ตามปกติ เฉพาะมื้อเย็นเท่านั้นที่กินอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ข้าว อาจจะหาจานเปล่ามา 1 ใบ ใส่ผักสดให้เต็มจาน แล้วกินกับกับข้าวไทยๆ อาทิ น้ำพริกปลาทู แกงส้ม แกงเลียง ยำ ลาบ งดกับข้าวมันๆ เช่นผัดผักมันๆ ของทอด และแกงกะทิ2.เลือก 1 วันในสัปดาห์สำหรับงดเนื้อสัตว์ ไขมัน ข้าว แล้วกินแต่ผลไม้อย่างเดียวทั้งวัน เช่น มะละกอสุก3.เปลี่ยนจากการกินเนื้อผลไม้มาเป็นการดื่มน้ำผลไม้วันละชนิด ติดต่อกัน 3 วัน4.อดเพื่อสุขภาพ 10 วัน โดยเริ่มจาก 2 วันแรกกินผลไม้ ต่อจากนั้นอีก 7 วันกินผักและผลไม้สดชนิดต่างๆ จนครบ 10 วัน ซึ่งใน 10 วันนี้ถ้าทำอย่างเข้มงวด น้ำหนักจะหายไปประมาณ 3-4 กิโลกรัม5.กินเนื้อกับผัก โลว์-คาร์บ(Low-Carb) คือกินได้ทุกอย่าง โดยไม่แตะคาร์โบไฮเดรตซึ่งรวมทั้งแป้ง ข้าว และผลไม้ให้น้อยที่สุดและกินผักปริมาณ 2 เท่าของเนื้อตามสูตรนี้แม้ว่าการที่ร่างกายไม่ได้รับพลังงานหลักจากคาร์โบไฮเดรตตามปกติ แต่ส่วนหนึ่งของพลังงานสำรองอาจเป็นโปรตีนจากกล้ามเนื้อ การกินเนื้อกับผักนานๆ จึงอาจส่งผลให้คุณผอมแบบกล้ามเนื้อหย่อนคล้อย จึงจำเป็นต้องรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ด้วยการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนไขมันเป็นกล้ามเนื้อได้ นอกจากนี้หากบริหารความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน อย่างการยกเวทไปพร้อมกันด้วย ก็จะช่วยเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อให้สวยงามและดูดียิ่งขึ้นด้วยนะคะ
เขียนโดย Thaiman ที่ 2:01 ก่อนเที่ยง

กินแป้งยังไงถึง..ไม่อ้วน
วิธีการที่จะทำให้การกินแป้งไม่อ้วนมี 2 วิธีคือ (1) การเลือกกินแป้งและน้ำตาล ที่มีดัชนี ไกลซีมิก ต่ำ - ดัชนีนี้เป็นตัววัดว่า อาหารพวกแป้งและน้ำตาลนี้จะมีผลต่อระดับของกลูโคสในเลือดอย่างไร หากมีค่าไกลซีมิกสูงเท่าไร ระดับกลูโคสในเลือดก็เพิ่มขึ้นเร็วเท่านั้นโดยปกติ กลูโคสจะถือว่ามีค่าไกลซีมิกอยู่ที่ 100 ส่วนแป้งและน้ำตาลอื่นๆก็มีค่าน้อยลงลดหลั่นลงมา หากอาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำกว่า 55 ถือว่ามีค่าไกลซีมิกต่ำ ส่วนระดับ 55-70 จัดว่ามีค่าอยู่ขั้นปานกลาง และระดับที่สูงกว่า 70 จัดอยู่ในขั้นสูงดังนั้น หากไม่อยากให้เกิดระดับกลูโคสในเลือดสูงเกินไป ก็เลือกกินแป้งและน้ำตาลที่มีค่าไกลซีมิกต่ำนั้นเอง>> แป้งและน้ำตาล ที่มีค่าไกลซีมิกสูง เช่น ขนมปัง (แม้แต่โฮลวีทที่มีวิตามินเยอะก็สูง) วัฟเฟิล แครกเกอร์ ข้าวขัดขาว มันฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็น เฟรนฟราย หรือ อบ>> แป้งและน้ำตาล ที่มีค่าไกลซีมิกต่ำๆ เช่น พวกแป้งและน้ำตาลที่อยู่ในถั่วโดยส่วนใหญ่ น้ำตาลในผลไม้ ข้าวซ้อมมือ พาสต้า หรือ สปาเก็ตตี้ ปัญหาหลักของการทานดัชนีไกลซีมิกสูงๆ คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการฟอกสีและกระบวนการผลิตที่ทำให้อาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำกลายเป็นอาหารที่มีค่าไกลซีมิกสูง อย่างพวกแป้งขัดขาวที่นำมาทำเป็นขนมปัง ดังนั้นไม่ถึงกับต้องงดหรือลดการทานแป้งและน้ำตาลคะแต่ให้เลือกพวกที่มีค่าไกลซีมิกต่ำเป็นหลัก(2) การออกกำลังกาย - การออกกำลังกายนี้จะไปกระตุ้นตับอ่อนให้ผลิตฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งคือ กลูคากอน มันมีหน้าที่ในการรักษาระดับของกลูโคสในเลือดไม่ให้ต่ำเกินไป โดยการสลายไกลโครเจนที่สะสมไว้เป็นกลูโคส รวมไปถึงการเอาไขมันที่สะสมมาใช้ด้วยซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าออกกำลังกายจึงทำให้คนเราผอมลง ดังนั้นอย่ากลัวแป้งและน้ำตาลมากจนเกินเหตุนะคะ แต่ให้เราเลือกการรับประทาน และออกกำลังกายไปด้วย น้ำหนักก็ลดลงได้คะ
เขียนโดย Thaiman ที่ 2:00 ก่อนเที่ยง
ป้ายกำกับ:


โยโย่ แอฟเฟค
คนที่เกิดอาการ โยโย แอฟเฟคนี้ โอกาสที่จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บก็จะง่ายกว่าคนที่น้ำหนักคงที่ วิธีแก้ไขโยโย่เอฟเฟคทำได้โดยการออกกำลังกาย และ ควบคุมอาหาร เพราะการออกกำลังกายนี้จะช่วยลดผลร้ายที่มีต่อระบบภูมิคุ้มกัน ที่เกิดจากการที่มีน้ำหนักที่ลดลง และทำให้น้ำหนักตัวคงที่ด้วย หากคุณคนไหนที่คิดจะกินยาลดความอ้วนโดยการกินยาลดความอ้วนว่าคุณจะต้องคิดไว้เสมอว่าเอาสุขวันนี้ แล้วจะมานั่งทุกข์ในวันข้างหน้าหรือ?สำหรับคนที่เจอ โยโย แอฟเฟค เข้าแล้ว สิ่งที่ต้องจำไว้ให้ดี คือ อย่าหวนคืนไปผิดเป็นครั้งที่สอง ที่สาม ที่สี่ ทางที่ถูกคือ หันมากินแบบเพื่อสุขภาพ และออกกำลังกายสม่ำเสมอคะ ถึงแม้ว่าร่างกายจะต้องใช้เวลาปรับตัวจาก โยโย แอฟเฟค บ้างแต่ให้ใจเย็นๆ คุณควรทานให้ครบทุกมื้อ ออกกำลังกายสม่ำเสมอและเมื่อเกิดโยโย แอฟเฟค อย่าพยายามลดครั้งใหม่โดยการกินอาหารแคลอรีต่ำๆอีกนะคะ
เขียนโดย Thaiman ที่ 2:00 ก่อนเที่ยง
ป้ายกำกับ:


วิธีแก้ผิวแตกลายจากการลดความอ้วน
สาวๆที่เคยอ้วน หรือเคยลดน้ำหนักบางคนมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับผิวแตกและลาย ซึ่งส่วนใหญ่มักพบว่าเกิดจากน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วไม่ได้เกิดจากผอมแล้วอ้วนอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากจะป้องกันผิวแตกลายก็อาจทำได้โดยลดความอ้วนโดยที่ไม่ได้ทำให้ เนื้อเยื่อมีความยืดหยุ่นมากก่อน เช่น การออกกำลังบริหารกล้ามเนื้อก็จะช่วยแก้ปัญหาที่จะเกิดนี้ได้ เพราะเมื่อคุณผอม กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันจะหดตัวลงตามไม่ทัน ทำให้ มีรอยเหี่่ยวและแตกลายแตกเป็นริ้วๆขึ้น ซึ่งมักจะเจอบ่อยในบริเวณ ผิวสะโพก น่อง หน้าท้อง และเต้านม ปัญหานี้จะไม่เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับคนผิวขาว แต่ในคนผิวคล้ำหรือผิวสองสี จะเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้กังวลใจมาก วิธีที่จะช่วยทำให้ดีขึ้นคือ คุณต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ความชุ่มชื่นกับผิวทาเพื่อบำรุงผิวในจุดนั้นๆคะ
เขียนโดย Thaiman ที่ 1:59 ก่อนเที่ยง
ป้ายกำกับ:
วันพุธ, เมษายน 1, 2009

การรู้จักกินและดื่มเพื่อหุ่นสวย
การลดน้ำหนักที่ดีก็คือ การควบคุมอาหารที่จะใส่ปากใส่ท้อง และรวมไปถึงเครื่องดื่มต่างๆให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะและจะต้องมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย ลองตรวจสอบกันดูสิว่า เรารับประทานอาหารและเครื่องดื่มกันถูกต้องเหมาะสมกันหรือไม่1. งดกินของทอด อาหารจำพวกทอดๆ ได้แก่ ไก่ทอด ลูกชิ้นทอด มันฝรั่งทอด และยังมีอีกหลากหลายเมนูทอดทั้งหลายที่ล้วนอุดมไปด้วยไขมัน ขอให้งดกินเด็ดขาด นอกจากจะจับตัวเป็นชั้นไขมันตามร่างกายแล้วยังก่อให้เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาอีกมากมายอย่าลังเลที่จะงดกินของเหล่านี้กันเลย2. เลิกกินกาแฟกับขนมปังมื้อเช้า มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด ร่างกายควรจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนมีประโยชน์มากกว่ากาแฟหนึ่งแก้วและขนมหนึ่งแผ่นเท่านั้น เปลี่ยนเป็นนมกับซีเรียล โจ๊กสักชาม หรือข้าวกับแกงจืดก็ยังได้ เพราะอาหารมื้อเช้าจะถูกนำไปใช้เป็นพลังในการทำงานระหว่างวันมากกว่ามื้ออื่น3. กินผักผลไม้ให้ได้ทุกมื้อ ถ้าเป็นเป็นไปได้ควรกินผักและผลไม้สดๆให้ได้ครบทุกมื้อ เพราะผักและผลไม้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อุดมไปด้วยสารอาหารและใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย อายุก็ยืนยาวและไม่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักส่วนเกินอีกด้วย4. ดื่มน้ำผักผลไม้ หากว่าการหาโอกาสกินผักผลไม้สดๆเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะการกินให้ได้ทุกมื้อและในจำนวนปริมาณที่มากๆ วิธีหนึ่งที่เป็นทางแก้ก็คือการดื่มน้ำผักผลไม้แทน โดยหาเครื่องสกัดน้ำผักผลไม้มาสกัดน้ำดื่ม จะได้ประโยชน์มากทีเดียวเพราะร่างกายจะดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้เร็วกว่าการรับประทานผักผลไม้สดๆ ถ้าไม่มีเครื่องสกัดน้ำผลไม้ เครื่องปั่นธรรมดาก็พอที่จะทำได้ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆใส่น้ำผสมเข้าไป ปั่นแล้วกรองเอาแต่น้ำดื่ม แต่มีข้อยกเว้นว่าต้องไม่เป็นผลไม้ที่มีรสหวานจัด เพราะสามารถทำให้อ้วนได้เหมือนกัน5. งดดื่มน้ำอัดลมโดยเด็ดขาด น้ำหวานน้ำอัดลมไม่จำเป็นจริงๆก็ขอให้งดดื่มโดยเด็ดขาดเพราะน้ำอีดลมประกอบไปด้วยน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ แล้วน้ำตาลส่วนเกินที่ได้รับจากการดื่มน้ำอัดลมก็จะไปสะสมในร่างกาย ทำให้อ้วนและกลายเป็นโรคเบาหวานในที่สุด6. ลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อ ขอย้ำว่าให้ลดปริมาณอาหารที่รับประทานแต่ละมื้อ เคยกิน 2 จาน ก็ให้เหลือ 1 จาน เคยกินจานโตๆ ก็ลดมาเหลือครึ่งจาน ไม่ใช่ให้อดอาหาร การอดอาหารจะทำให้ร่างกายอ่อนแอขาดภูมิต้านทาน และเมื่อกินมื้อต่อไป ร่างกายจะทำการสะสมเป็นไขมันเพื่อชดเชยมื้อที่อด 7. อย่าปล่อยให้หิวมากเกินไป การปล่อยให้มีความรู้สึกหิวจนท้องไส้กิ่ว บิดไปบิดมา ไม่ว่าจะเป็นเพราะยอมอดเพื่อความผอมหรือไม่ได้อด แต่รู้สึกหิวจริงๆ ละก็ อย่าปล่อยให้รู้สึกหิวจนทรมานอย่างนั้น หาอะไรเป็นของว่างประเภทผลไม้ไม่มีรสหวานก็ได้ กินพอระงับความหิว เพราะถ้าปล่อยให้ตัวเองหิวจัดมากๆ พอถึงเวลากินอาหารแล้วจะกินมากกว่าเดิมเป็น 2-3 เท่าเชียว8. เคี้ยวอาหารให้ละเอียดอย่างช้าๆ คนที่กินอาหารด้วยความรวดเร็วจนเหมือนว่าไม่ได้เคี้ยวอาหารเลยสักนิด นอกจากจะทำให้กระเพาะทำงานหนักในการย่อยอาหารแล้ว ยังทำให้ท้องอืดและกินอาหารได้มากกว่าปกติ เพราะยิ่งกินเร็วก็เหมือนว่ากินได้น้อยและไม่อิ่มเสียที กว่าจะรู้สึกอิ่มก็แน่นท้องเสียแล้ว โดยปกติเราจะรับรู้ว่าอิ่มก็ใช้เวลาประมาณ 20 นาที กว่ากระเพาะจะส่งสัญญาณให้รับรู้ว่าอิ่ม คนที่กินเร็วๆ จึงมีโอกาสกินมากเกินความต้องการของร่างกาย9. ดื่มน้ำก่อนกินอาหาร ดื่มน้ำสัก 2 แก้วก่อนรับประทานอาหารไม่เกิน 30 นาที เพราะเมื่อมีน้ำอยู่ในกระเพาะ จะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น แม้ว่าอยากกินก็กินต่อไม่ไหว10. เลี่ยงการกินไขมันแต่ไม่ใช่งดกิน ไขมันมีทั้งประเภทไขมันแบบดีเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย และแบบไม่ดีไม่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย เราจึงไม่ควรจะงดกินไขมันไปเสียทุกประเภท อะไรบ้างที่เป็นไขมันแบบดี ก็คือไขมันที่ได้จากปลา จากพืช เพราะไขมันเหล่านี้เป็นไขมันไม่อิ่มตัว จะไปช่วยลดการสะสมของไขมันที่จะไปอุดตันเส้นเลือด แล้วเจ้าไขมันแบบที่ไม่ดีล่ะ ก็คือ ไขมันจากสัตว์ กินเข้าไปมากๆ ก็จะสะสมก่อให้เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด ดังนั้นจึงควรเน้นกินไขมันประเภทไขมันแบบดีมีประโยชน์ให้มาก11. กินมังสวิรัติ ถ้าเป็นไปได้ลองกินอาการมังสวิรัติเป็นประจำก็จะดีมีประโยชน์ เพราะเมนูอาหารจะเป็นผักเสียส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องระวังอย่ากินแป้งมากเกินไป เลี่ยงอาหารจำพวกผัดๆ ทอดๆ ที่มันมากเกินแล้วก็อย่าลืมกินโปรตีนจากถั่วแทนเนื้อสัตว์ด้วยละ12. ดื่มนมพร่องมันเนย หากว่าดื่มนมเป็นประจำก็สามารถดื่มได้ แต่ให้เลี่ยงเป็นนมพร่องมันเนยแทน จะได้ไม่อ้วน เพราะร่างกายของเราเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ไขมันจากนมจึงไม่จำเป็นมากนัก
เขียนโดย Thaiman ที่ 2:01 ก่อนเที่ยง
ป้ายกำกับ:

วิธีลดความอ้วน วิธีลดน้ำหนัก
วันนี้ขอเสนอวิธีลดน้ำหนักลองที่สามารถนำมาใช้ ลดความอ้วนแบบโลคาร์บกันได้เลยค่ะ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีลดความอ้วนที่เน้นตรงที่เราจะทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตต่ำและดีกับร่างกายเช่น ผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง โฮลวีต ธัญพืช และพืชตระกูลถั่ว เป็นต้น โดยจะแบ่งเป็น 3 ช่วง และเหมาะกับคนที่ชอบทานอาหารหลากหลาย โดยมีเคล็ดลับคือ ดื่มแอ๊บเปิ้ลไซเดอร์วีนีการ์ เจือจางทุกเช้า เพื่อช่วยย่อยและขับของเสียออกจากร่างกายค่ะ ถ้าหาไม่ได้ใช้มะนาว 1 ลูกบีบใส่น้ำอุ่น ดื่ม 1 แก้วทุกเช้าแทนได้ค่ะช่วงที่ 1 เน้นการรับประทานแต่กับข้าว และผักปรุงด้วยน้ำมันมะกอก (ถ้าสามารถหาได้) กับข้าวควรปรุงด้วยเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน ไก่ไม่ติดหนัง ไข่ ปลา อาหารทะเล นม ไขมันต่ำ ผลิตภัณฑ์จากนม ถั่ว และน้ำมันมะกอก ทานได้มากเท่าที่ต้องการ คุณสามารถทานยำ ส้มตำ เกาเหลา สเต๊ก ราดหน้าหรือพาสต้าเกาเหลาได้ค่ะ จะเน้นว่าไม่ใส่เส้น หรือแม้แต่วุ้นเส้นก็ไม่ใส่นะคะ ช่วงนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์ค่ะช่วงที่ 2 หลังจากผ่าน 2 สัปดาห์แรกในช่วงที่ 1 มาแล้ว เราสามารถเพิ่มคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายต้องการได้ค่ะ แต่ต้องเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากผลไม้ โฮลเกรนต่างๆ ได้แก่ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ แป้งหรือขนมปังที่ไม่ขัดสี พืชตระกูลถั่ว และซีเรียลต่างๆ เพิ่มได้เพียง 1 อย่างต่อวันค่ะ ค่อยๆ เพิ่มปริมาณคาร์โบไฮเดรตนะคะ อย่ามากเกินไป ลองจดบันทึกว่า แต่ละวัน เรากินอะไรไปบ้าง ให้ผลอย่างไรบ้างนะคะ จะทำให้เรารู้ว่า เราทานคาร์โบไฮเดรตชนิดไหน ทำให้เราลดน้ำหนักได้ดีกว่า ให้อยู่ในช่วงนี้จนกว่า จะลดน้ำหนักจะลงมา จนคุณพอใจค่ะ ส่วนใหญ่จะลดได้ 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ค่ะช่วงที่ 3 เป็นช่วงที่ทุกคนชอบมาก เพราะสามารถทานอะไรก็ได้ เพราะได้เรียนรู้ในช่วงที่ 2 แล้วว่าอะไรที่เป็นประโยน์ ทานแล้วได้ผลดีกับเรา เราก็ทานสิ่งนั้นค่ะ หากว่าน้ำหนักขึ้น ก็สามารถย้อนกลับไปแก้ไข ตามแบบช่วงที่ 1 ใหม่ได้ค่ะ เพียง 1-2 สัปดาห์ ก็จะกลับมาสวยเหมือนเดิมค่ะ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ คุณจะต้องทำไปตลอดจนเป็นนิสัยค่ะ แล้วคุณจะควบคุมน้ำหนักได้ระยะยาวเลยทีเดียวค่ะ