วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

การใช้ยาลดความอ้วน





การใช้ยาลดความอ้วน
ยาลดความอ้วนที่ใช้กันส่วนใหญ่จะเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ยาควบคุมพิเศษ และยาอันตราย ที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง โดยการไปลดความอยากอาหาร เป็นยาที่มีผลทำให้เกิดการเบื่ออาหาร หรือที่เรียกว่า Anorectic Drugs มีอนุพันธ์ของยาแอมเฟตามีน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่ายาม้า การใช้ยาลดความอ้วนต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะยาเหล่านี้ อาจทำให้เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ได้ เช่น
1.พิษจากการใช้ยา เกิดจากการใช้ยาเกินขนาด ผู้ใช้จะมีอาการตื่นเต้น สับสน ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ มีอาการทางจิต ได้ยินเสียงหรือภาพหลอน ในรายที่รุนแรงพบว่าจะมีไข้สูง เจ็บหน้าอก การไหลเวียนของเลือดล้มเหลว ชัก และอาจตายได้
2.ความทนต่อยา ยาลดความอ้วนหลายตัว เมื่อใช้ไป 6-12 สัปดาห์ ร่างกายจะทนต่อยาเพิ่มขึ้น (หรือเรียกว่าดื้อยา) เมื่อเกิดความทนต่อยา ผู้ใช้ไม่ควรเพิ่มขนาดของยาให้สูงขึ้น เพราะอาจเกิดพิษอันเนื่องมาจากการใช้ยาเกินขนาด
3.การติดยา เมื่อผู้ใช้ยากเป็นประจำจะทำให้เกิดการเสพติด ซึ่งหากหยุดทันทีจะเกิดอาการทางจิตที่เห็นได้ชัดคือ จะรู้สึกอยากอาหารเพิ่มขึ้น และมีอาการซึมเศร้า
4.การใช้ยาในทางที่ผิด เพราะยาพวกนี้จะทำให้ผู้ใช้เคลิบเคลิ้มเป็นสุข จึงอาจทำให้มีการนำยาไปใช้ทางที่ผิดได้
การใช้ยาลดความอ้วน หากใช้ติดต่อกัน 4-6 สัปดาห์ แล้วยังไม่เห็นผลก็ควรเลิกใช้ หรือถึงแม้จะเห็นผลก็ไม่ควรใช้ติดต่อกันตลอด เพราะอาจทำให้ติดยา นอกจากนี้ยังมียากลุ่มอื่น ๆ ที่มีการนำมาใช้ลดความอ้วน เช่น
ยาลดน้ำตาลในเลือด ยาจะลดการดูดซึมคาร์โบไฮเดรต และเพิ่มการใช้กลูโคส จะใช้ลดน้ำหนักในคนที่เป็นโรคเบาหวาน ส่วนผลในคนปกติยังไม่แน่นอน และอาจเกิดผลข้างเคียงจากยาได้ เช่น ปวดศีรษะ มึนงง ชาตามปลายมือปลายเท้า เป็นต้น
ยาเพิ่มกากในลำไส้ ยาพวกนี้จะพองตัวในท้องทำให้รู้สึกอิ่ม แต่ถ้าใช้ปริมาณมาก ๆ อาจทำให้ลำไส้อุดตัน
ยาระบายหรือยาถ่าย การใช้ในขนาดสูง ทำให้ท้องเดินและขาดน้ำ เป็นผลให้น้ำหนักลดในช่วงที่ใช้ยา แต่หากใช้ไปนาน ๆ จะเป็นอันตรายต่อร่างกายเพราะร่างกายขาดสารอาหาร ขาดแร่ธาตุที่จำเป็น และขาดน้ำอย่างรุนแรง
จะเห็นได้ว่ายาที่ใช้ลดความอ้วนเหล่านี้ ล้วนมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ไม่ควรเสี่ยงนำมาใช้ แต่ถ้าอยากลดความอ้วนอย่างปลอดภัย แนะนำให้ใช้วิธีการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ซึ่งการควบคุมอาหารนี้ไม่ได้หมายถึงการอดอาหาร แต่เป็นการควบคุมให้ปริมาณแคลอรี่ที่รับเข้าไปสมดุลกับที่ถูกนำมาใช้ โดยลดอาหารที่เกินความต้องการประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ลองฝึกการกินให้เป็นเวลา วันละ 3 มื้อ ไม่กินพร่ำเพรื่อระหว่างมือ กินให้ช้าลงโดยเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน เพราะการกินเร็วจะทำให้กินได้มากขึ้น
แต่เนื่องด้วยภาวการณ์ดำเนินชีวิตในปัจจุบันเป็นไปด้วยความเร่งรีบ เวลาส่วนหนึ่งหมดไปกับการเดินทางระหว่างบ้านกับที่ทำงาน ไม่มีเวลาเหลือพอสำหรับการออกกำลังกาย การควบคุมอาหารก็ทำได้ยาก จึงเหลือวิธีสุดท้ายสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน คือการใช้อาหารลดน้ำหนัก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น