วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

วิธีการดูแลร่างกาย









วิธีการดูแลร่างกาย
การที่ดำรงชีวิตได้อย่างมีความหมายนั้น นอกจากจะต้องมีร่างกายที่แข็งแรงแล้ว ยังต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งสมบูรณ์อีกด้วยเมื่อร่างกายและจิตใจสมบูรณ์ดีแล้ว จึงจะมีชีวิตที่สวยสดงดงามอย่างแท้จริง
ควบคุมดูแลลมปราณให้ไหลเวียนสะดวก หล่อเลี้ยงปรับสภาพร่างกายให้สมดุล ดำรงจิตใจให้เรียบสงบ น้ำลายเป็นของล้ำค่าแห่งกาย เมื่อของล้ำค่ามารวมกันก็จะกลายเป็นเศรษฐี เมื่อของล้ำค่ากระจัดกระจายก็จะกลายเป็นยาจก
เสียใจก่อนแล้วมีความสุขภายหลัง กิเลสตัณหาเบาบางย่อมสามารถหล่อเลี้ยงลมปราณได้
การยังชีพก็มิรู้สู้ประหยัดใช้ การดูแลร่างกายก็มิสู้การละลดกิเลสตัณหาให้น้อยลง
อย่ามัวแต่หยุดพักผ่อนเพื่อหาความสุข อย่าไปทุกข์กังวลเพราะมัวแต่เสาะแสวงหาจนเกินเลย
อย่าบังเกิดจิตใจที่คิดร้ายผู้อื่น อย่าใช้คำพูดประจบสอพลอหลุดออกมาจากปาก
ร่างกายที่แข็งแรงจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของจิตใจที่เข้มแข็งมั่นคง มิฉะนั้นจะก่อให้เกิดเหตุการณ์ทารุณขึ้นในสังคม ยิ่งทำให้โลกไม่สงบสุข
สิ่งที่ได้พบเห็นมากระจ่างชัดแต่กลับไม่แสดงออกถึงสิ่งที่ตนรู้
สิ่งที่รู้ได้สดับรับฟังมาอย่างชัดเจนแต่ไม่เก็บใส่ใจ
จิตใจที่เคยมีความรักความเมตตามา กลับไม่สนใจ
หากมีจิตใจโอบอ้อมอารี ตนเองก็จะพบความสุขที่แท้ จริง ไร้กิเลสไร้ความอยากจึงจะเป็นความสุขแห่งธรรมทุกขณะความคิดไม่บังเกิดก็จะสงบนิ่งเองโดยธรรมชาติไม่มีเรื่องราวค้างคาในจิตใจ ก็จะสามารถสงบได้นาน มีความเคารพในจิตใจ ก็จะเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง รักษาความเป็นหนึ่งเสริมสร้างความสมานฉันท์
หากจิตใจสงบนิ่ง ลมปราณจิตใจจะรวมเป็นธรรม มนุษย์มีสังขาร เมื่อลมหายใจสิ้นก็คือตาย จิตใจไม่วอกแวก จะได้ไม่ ต้องเหนื่อย ล้า
พลังใจถูกทำลาย ร่างกายจิตใจต้องแตกกระเจิง จิตใจสงบเกิดสติปัญญา จิตใจเคลื่อนไหว เกิดความเลอะเลือน
ใจรวมกับธรรม สัมผัสสิ่งใดก็ไม่หวั่นไหว หากร่างกาย สงบนิ่งจิตใจว่างเปล่า ก็จะพิจารณาได้ถึงความแยบยล
เคราะห์ภัยจะไม่หนักหนา ถ้ารู้จักควบคุมกิเลสตน ภัยจากกามกิเลสรูปนารีจะนำพาให้ถึงคุกตาราง
จะได้รับหรือไม่ได้รับ จิตใจก็คงจะสงบสบาย ร่างกายจิตใจรวมเป็นหนึ่ง จึงจะเป็นกายแท้ร่างกายจิตใจผสมผสานเสริมสร้างกัน ร่างกายจิตใจรวมกันเป็นหนึ่งจึงจะสามารถคงอยู่ชั่วนิรันดร์
หลังดื่มสุรางดพูดจา ระวังดูแลเรื่องเวลารับประทานอาหารจะบริโภคหรือสวมใส่ จะต้องดูแลร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ
การชำระใจ คือเจ การป้องกันภัย คือศีล คำพูดที่ทำร้ายผู้คนนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าคมหอกคมดาบทิ่มแทงนับหมื่นเล่ม
ไม่อยากให้คนอื่นได้ยินก็จงอย่าพูด ไม่อยากให้คนอื่นรู้ก็จงอย่ากระทำ
น้ำมันหมดทำให้ตะเกียงดับ ไขข้อเนื้อเยื่อทรุดโทรมที่สุดคนก็ตาย เติมน้ำมันตะเกียงก็จะได้ลุกโชน บำรุงไขข้อเนื้อเยื่อ คนก็แข็งแกร่ง
พึ่งพาคนร่ำรวย คือยากจน พึ่งพาคนสูงศักดิ์ คือ ต่ำต้อยพึ่งพาผู้แข็งแกร่ง คืออ่อนแอ พึ่งพาคนฉลาด คือคนโง่
ความดีเล็กน้อยสะสม ก็ไม่อาจบรรลุมหาบารมี ความชั่วเล็กน้อยไม่ยุติ มหันตภัยก็จะถามหา
มีอารมณ์แจ่มใสเบิกบาน แต่ไม่มีร่างกายที่แข็งแรง ก็ไม่สามารถที่จะดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข ฉะนั้นจึงต้องให้ความใส่ใจในการดูแลสุขภาพกายและใจออกกำลังกายเพื่อจะได้ไร้โรคภัย
มีร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า โรคภัยก็หนีหาย
ความโกรธเหมือนเพลิงไฟ คอยเผาไหม้ทำร้ายตนความ
โกรธแค้นเหมือนไฟโหม
ผลประโยชน์ความทะยานอยากเหมือนคมอาวุธ
เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียกัน ก็มิสู้ดำรงอยู่อย่างสงบ
หล่อเลี้ยงญาณลมปราณสมบูรณ์
รักษาจิตใจร่างกายให้สบาย ใจสงบก็จะมีชีวิตซีวา
เมื่อมีชีวิตชีวาวาสนาก็ก่อเกิด
ความอดทนเป็นมิติแห่งใจ ไม่อดทน จะนำภัยมาสู่ตัว
ไม่โลภ ความกังวลก็จะน้อย ไม่สะสมก็ไม่มีการสูญเสีย สบายอกสบายใจไร้กังวล สงบนิ่งไร้ครุ่นคิด
ภัยเกิดจากเหตุเล็ก โรคภัยไข้เจ็บ
เกิดจากอาการเพียงเล็กน้อย
ไม่มีเคราะห์ภัยใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าความตาย
ไม่มีวาสนาใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าเกิดเป็นคนและได้รับวิถีธรรม
กลั่นแกล้งฟ้าดิน ต้องพบกับความอัปมงคล
คล้อยตามฟ้าย่อมพบกับศิริมงคล
บำเพ็ญวาสนา ย่อมได้รับผลดีตอบสนอง
กระทำความชั่วเคราะห์ภัยถามหา
เสาะหาวาสนา ก่อนจะนิมิต ยุติเคราะห์ภัยก่อนจะเกิด
จะป้องกันเภทภัย จะต้องป้องกันระวังการกระทำ
จะรักษาโรคภัย จะต้องหลีกหนีเสียแต่แรกเป็นดี
วาสนาก่อนเคราะห์ภัย
ผลประโยชน์เป็นบ่อเกิดความหายนะ
วาสนาเกิดได้ด้วยความบริสุทธิ์มัธยัสถ์
บารมีเกิดได้ด้วยการรู้จักยอมต่ำต้อยผ่อนปรน
ธรรมเกิดได้ด้วยความสงบ ชีวิตเกิดได้ด้วยความสมานฉันท์

Oo ____ ขวัณใจ SF oO___OO
















การฝึกสมาธิเบื้องต้น











สมาธิคือการที่มีใจตั้งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งอย่างแน่วแน่ กล่าวในภาษาชาวบ้านก็คือ การมีใจจดจ่ออยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านนั่นเอง การทำสมาธิแบบนี้ไม่ได้เน้นการเข้าถึงนิพพาน หรือความสิ้นไปของอาสวะ แต่ก็เป็นพื้นฐานที่ดีหากต้องการปฏิบัติต่อไปในขั้นสูง หากแต่มีประโยชน์ที่เห็นได้ทันทีก็ได้จากในชีวิตประจำวัน ทำให้เรามีจิตใจผ่องใส ประกอบกิจการงานได้ราบรื่นและคิดอะไรก็รวดเร็วทะลุปรุโปร่ง เพราะว่าระดับจิตใจได้ถูกฝึกมาให้มีความนิ่งดีแล้ว เมื่อมีความนิ่งเป็นสมาธิดีแล้ว ย่อมมีพลังแรงกว่าใจที่ไม่มีสมาธิ ดังนี้เมื่อจะคิดทำอะไร ก็จะทำได้ดี และได้เร็วกว่าคนปกติ ที่ไม่ได้ผ่านการฝึกสมาธิมาก่อน วิธีการทำสมาธิที่ได้ผลและเป็นที่นิยม ได้ถูกนำมากล่าวแนะนำไว้ในที่นี้แล้ว เริ่มตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน และขั้นตอนต่างๆ โดยท่านสามารถอ่านทีละหัวข้อตามลำดับดังต่อไปนี้
การจะทำสมาธิสามารถทำได้ทุกขณะอิริยาบถ ข้อแนะนำและการเตรียมตัวก่อนการทำสมาธิ การทำสมาธิโดยการนับเพื่อฝึกการควบคุมจิต
๑.การทำสมาธิสามารถทำได้ทุกขณะอิริยาบถ ท่านพ่อลี (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร) พระสายธุดงที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งแห่งภาคอีสาน ได้เคยให้คำอธิบายวิธีการทำสมาธิในชีวิตประจำวัน เวลาที่จะทำสมาธินั้นท่านได้อธิบายอย่างง่ายๆไว้ว่าทำได้ทั้งยืน เดิน นั่ง และนอน ในอิริยบททั้ง ๔ นี้เมื่อใดที่ใจเป็นสมาธิก็ถือว่าเป็นภาวนามัยกุศล ซึ่งถือเป็นกุศลกรรมสิทธิ์เฉพาะตัว ถือว่าได้บุญด้วยอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงพอสรุปจากคำแนะนำของท่านไว้ได้ดังนี้คือ การยืน ทำโดยยืนให้ตรง วางมือขวาทับมือซ้าย คว่ำมือทั้งสอง หลับตาหรือลืมตาสุดแท้แต่จะสะดวกในการทำ แล้วเพ่งไปที่คำว่า พุทโธ จนจิตตั้งมั่นได้ การเดิน เรียกว่าเดินจงกรม ให้กำหนดความสั้น ความยาว ของเส้นทางที่จะเดินสุดแท้แต่เราเอง ควรจะหาสถานที่ และเวลาที่เหมาะสม ไม่อึกทึกครึกโครม และไม่มีสิ่งรบกวนจากรอบข้าง นอกจากนั้นที่ที่จะเดินไม่ควรสูงๆ ต่ำๆ แต่ควรเรียบเสมอกัน เมื่อหาสถานที่และเวลาที่เหมาะสมได้แล้วก็ตั้งสติ อย่าเงยหน้าหรือก้มหน้านัก ให้สำรวมสายตาให้ทอดลงพอดี วางมือทั้งสองลงข้างหน้าทับกันเหมือนกับยืน การเดินแต่ละก้าวก็ให้จิตตั้งมั่นอยู่กับคำบริกรรมว่า พุทโธ โดยเดินอย่างสำรวม ช้าๆ ไม่เร่งรีบ กำหนดรู้ในใจ การนั่ง คือนั่งให้สบาย แล้วเพ่งเอาจิตไปที่การบริกรรมคำว่า พุทโธ ท่องภาวนาไว้เป็นอารมณ์ให้กำหนดรู้อยู่ในใจ การนอน คือให้นอนตะแคงข้างขวา เอามือขวาวางรองศีรษะ ยืดมือซ้ายไปตามตัว ไม่นอนขด นอนคว่ำ หรือนอนหงาย แล้วก็สำรวมสติตั้งมั่นด้วยการภาวนาคำว่า พุทโธ ให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว เช่นเดียวกัน
๒.ข้อแนะนำและการเตรียมตัวก่อนการทำสมาธิ ๒.๑ การหาเวลาที่เหมาะสม เช่นไม่ใช่เวลาใกล้เที่ยงเป็นต้นจะทำให้หิวข้าว หรือทำใกล้เวลาอาหาร และไม่ทานอิ่มเกินไปเพราะจะทำให้ง่วงนอน หรือเวลาที่คนในบ้านยังมีกิจกรรมอยู่ ยังไม่หลับเป็นต้น ๒.๒ การหาสถานที่ที่เหมาะสม ไม่ใช่ที่อึกทึก นอกจากได้สมาธิในขั้นต้นแล้ว และต้องการฝึกการเข้าสมาธิในที่อึกทึก ๒.๓ เสร็จจากธุระภาระกิจต่างๆ และกิจวัตรประจำวันแล้ว เช่นหลังจากอาบน้ำแล้ว ขับถ่ายเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้มีนัดหมายกับใครแล้วเป็นต้น ๒.๔ อยู่ในอาการที่สบาย คือการเลือกท่านั่งที่สบาย ท่าที่จะทำให้อยู่นิ่งๆ ได้นานโดยไม่ปวดเมื่อยและเกิดเหน็บชา อาจจะไม่ใช่การนั่งขัดสมาธิก็ได้ แต่การนั่งขัดสมาธิถ้าทำได้ถูกท่าและชินแล้ว จะเป็นท่าที่ทำให้นั่งได้นานที่สุด อย่างไรก็ตามไม่ควรอยู่ในท่าเอนหลังหรือนอน เพราะความง่วงจะเป็นอุปสรรค เมื่อร่างกายได้ขนานกับพื้นโลกจะทำให้ระบบของร่างกายพักการทำงานโดยอัตโนมัติ ทำให้ต้องใช้กำลังใจในการทำสมาธิมากกว่าการนั่ง ๒.๕ ไม่ควรนึกถึงผล หรือปรารถนาในลำดับชั้นของการนั่งในแต่ละครั้ง เช่นว่าจะต้องเห็นโน่นเห็นนี่ให้ได้ในคืนนี้เป็นต้น เพราะจะเป็นการสร้างความกดดันทางใจโดยไม่รู้ตัว และเกิดความกระวนกระวายทำให้ใจไม่เกิดสมาธิ ใจไม่นิ่ง ต้องทำใจให้ว่างมากที่สุด ๒.๖ ตั้งเป้าหมายในการนั่งแต่ละครั้ง เช่นตั้งใจว่าจะต้องนั่งให้ครบ ๑๕ นาทีก็ต้องทำให้ได้เป็นต้น และพยายามขยายเวลาให้นานออกไป เมื่อเริ่มฝึกไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว เพื่อให้สมาธิได้สงบนิ่งได้นานยิ่งขึ้น ๒.๗ เมื่อได้เริ่มแล้วก็ให้ทำทุกวันจนเกิดความเคยชินเป็นนิสัยติดตัว เพราะว่าการทำสมาธิต้องอาศัยความเพียรในการฝึกฝน เพื่อให้เกิดความเคยชินและชำนาญ การที่นานๆทำสักครั้ง ก็เหมือนกับการมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
๓.การทำสมาธิโดยการนับเพื่อฝึกการควบคุมจิต การทำสมาธิโดยวิธีนี้นั้นมีหลักการนับอยู่หลายวิธี และแต่ละวิธีก็ล้วนแต่มีจุดหมายเดียวกันคือ เป็นอุบายหลอกล่อให้จิตตั้งมั่นอยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลานานได้ ทำให้เราเรียนรู้ที่จะเป็นนายของจิต ควบคุมมันได้ วิธีนับแบบต่างๆพอกล่าวโดยย่อได้ดังต่อไปนี้คือ ๓.๑ นับโดยการบวกเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ๓.๒ นับลมแบบอรรถกถา ๓.๓ นับทวนขึ้นทวนลง ๓.๔ นับวน * ๓.๑ การนับโดยการบวกเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ทีละหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น พอหายใจเข้าก็นับหนึ่ง พอหายใจออกก็นับสอง หายใจเข้าต่อไปก็นับสาม และหายใจออกต่อไปก็นับสี่ บวกเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆทีละหนึ่ง ตัวเลขที่นับมันก็จะไม่รู้จบ แต่ท่านอาจจะกำหนดตัวเลขจำนวนสูงสุดก็ได้ อาทิเช่นพอถึงหนึ่งร้อย ก็เริ่มนับหนึ่งใหม่เป็นต้น คงไม่ต้องยกตัวอย่าง วิธีนี้เป็นวิธีเริ่มต้นที่ง่าย และใช้สมาธิไม่มากนัก เพราะเหตุที่เราคุ้นเคยกับการนับในชีวิตประจำวันอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ เพียงแต่เอาการนับมาควบเข้ากับจังหวะการหายใจเข้า-ออก เพื่อให้มีจิตรู้ตัวอยู่เสมอนั่นเอง ๓.๒ การนับลมแบบอรรถกถา เป็นวิธีของท่านพระอรรถกถาจารย์ ที่ได้นำเอาตัวเลข มาเป็นเครื่องกำหนดร่วมกับการกำหนดลมหายใจ ตามหลักคำสอนของท่านพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากหนังสือพุทธธรรม ของพระราชวรมุนี หน้า (๘๖๕) หลักการนับแบบนี้ช่วยฝึกให้ใจมีสมาธิจดจ่อมากกว่าวิธีแรก วิธีนับมีสองแบบ แบบแรกให้นับเป็นคู่ คือเมื่อหายใจเข้า ก็ให้นับว่า ๑ เมื่อหายใจออกให้นับว่า ๑ พอเที่ยวต่อไปหายใจเข้าให้นับว่า ๒ หายใจออกก็ให้นับว่า ๒ สรุปก็คือลมหายใจเข้าและออกถือเป็นหนึ่งครั้ง จนถึงคู่ที่ ๕ ก็ให้ตั้งต้นมานับ ๑ ไปใหม่จนถึงเลข ๖ ก็ให้มาตั้งต้นนับ ๑ ไปจนถึง ๗ ถึง ๘ ถึง ๙ และ ๑๐ แล้วตั้งต้นนับ ๑ ไปจนถึง ๕ และนับต่อไปถึง ๑๐ อีก ลองศึกษาดูที่ตารางข้างล่างนี้เพื่อทำความเข้าใจอีกครั้ง แบบนับเป็นคู่พร้อมกับลมหายใจ เช่น (๑-๑) หนึ่งตัวแรกคือลมหายใจครั้งที่ ๑ หนึ่งตัวที่สองคือการนับ
อีกแบบหนึ่งคือการนับเดี่ยว นับแต่ตัวเลขอย่างเดียว ไม่ต้องคำนึงว่าเป็นลมหายใจเข้าหรือออก แต่ท่านควรจะทำแบบแรกให้คล่องเสียก่อน แล้วจึงมาลองแบบที่สองนี้ ลองศึกษาทำความเข้าใจกับตารางข้างล่างนี้สำหรับการนับเดี่ยว

ทั้งสองแบบนี้ใช้วิธีการนับทวนไปทวนมา จนกระทั่งเราเกิดสมาธิ อย่างไรก็ตามขอให้ถือหลักความเพียรเข้าไว้ วันนี้ใจยังว้าวุ่นอยู่ก็ไม่เป็นไร ลองพรุ่งนี้อีกที ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสงบใจให้เชื่องอยู่ใตับังคับบัญชาของเรา และเมื่อนั้นแหละคุณภาพทางจิตและร่างกายของท่านได้ถูกพัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่งแล้ว แบบนับลมเป็นคู่ วิธีนี้จะง่ายกว่าแบบอรรถกถาข้างต้นเล็กน้อย เพราะว่าให้เริ่มนับไปได้เลย วิธีมีดังนี้คือ แบบนับตามลม เวลาหายใจเข้า ก็ให้กำหนดลมหายใจที่เข้ามากระทบไว้ที่ปลายจมูก หรือโพรงจมูกด้านใน ตรงที่รู้สึกว่าลมกระทบตรงนั้น แล้วเริ่มต้นนับหนึ่งในใจ แล้วก็เอาใจตามลมหายใจเข้ามาจนผ่านปอด ให้ความรู้สึกว่าไปสุดปลายที่ท้องเลยทีเดียว ถึงตรงนี้ก็คือถือเป็นสิ้นสุดการหายใจเข้า เวลาหายใจออก ก็ให้ต้นลมอยู่บริเวณท้องแล้วก็นับหนึ่งใหม่ในใจ พร้อมกับหายใจออก
เพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้น ให้ศึกษาดูจากตารางนี้อีกเที่ยวหนึ่ง































การใช้ยาลดความอ้วน





การใช้ยาลดความอ้วน
ยาลดความอ้วนที่ใช้กันส่วนใหญ่จะเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ยาควบคุมพิเศษ และยาอันตราย ที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง โดยการไปลดความอยากอาหาร เป็นยาที่มีผลทำให้เกิดการเบื่ออาหาร หรือที่เรียกว่า Anorectic Drugs มีอนุพันธ์ของยาแอมเฟตามีน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่ายาม้า การใช้ยาลดความอ้วนต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะยาเหล่านี้ อาจทำให้เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ได้ เช่น
1.พิษจากการใช้ยา เกิดจากการใช้ยาเกินขนาด ผู้ใช้จะมีอาการตื่นเต้น สับสน ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ มีอาการทางจิต ได้ยินเสียงหรือภาพหลอน ในรายที่รุนแรงพบว่าจะมีไข้สูง เจ็บหน้าอก การไหลเวียนของเลือดล้มเหลว ชัก และอาจตายได้
2.ความทนต่อยา ยาลดความอ้วนหลายตัว เมื่อใช้ไป 6-12 สัปดาห์ ร่างกายจะทนต่อยาเพิ่มขึ้น (หรือเรียกว่าดื้อยา) เมื่อเกิดความทนต่อยา ผู้ใช้ไม่ควรเพิ่มขนาดของยาให้สูงขึ้น เพราะอาจเกิดพิษอันเนื่องมาจากการใช้ยาเกินขนาด
3.การติดยา เมื่อผู้ใช้ยากเป็นประจำจะทำให้เกิดการเสพติด ซึ่งหากหยุดทันทีจะเกิดอาการทางจิตที่เห็นได้ชัดคือ จะรู้สึกอยากอาหารเพิ่มขึ้น และมีอาการซึมเศร้า
4.การใช้ยาในทางที่ผิด เพราะยาพวกนี้จะทำให้ผู้ใช้เคลิบเคลิ้มเป็นสุข จึงอาจทำให้มีการนำยาไปใช้ทางที่ผิดได้
การใช้ยาลดความอ้วน หากใช้ติดต่อกัน 4-6 สัปดาห์ แล้วยังไม่เห็นผลก็ควรเลิกใช้ หรือถึงแม้จะเห็นผลก็ไม่ควรใช้ติดต่อกันตลอด เพราะอาจทำให้ติดยา นอกจากนี้ยังมียากลุ่มอื่น ๆ ที่มีการนำมาใช้ลดความอ้วน เช่น
ยาลดน้ำตาลในเลือด ยาจะลดการดูดซึมคาร์โบไฮเดรต และเพิ่มการใช้กลูโคส จะใช้ลดน้ำหนักในคนที่เป็นโรคเบาหวาน ส่วนผลในคนปกติยังไม่แน่นอน และอาจเกิดผลข้างเคียงจากยาได้ เช่น ปวดศีรษะ มึนงง ชาตามปลายมือปลายเท้า เป็นต้น
ยาเพิ่มกากในลำไส้ ยาพวกนี้จะพองตัวในท้องทำให้รู้สึกอิ่ม แต่ถ้าใช้ปริมาณมาก ๆ อาจทำให้ลำไส้อุดตัน
ยาระบายหรือยาถ่าย การใช้ในขนาดสูง ทำให้ท้องเดินและขาดน้ำ เป็นผลให้น้ำหนักลดในช่วงที่ใช้ยา แต่หากใช้ไปนาน ๆ จะเป็นอันตรายต่อร่างกายเพราะร่างกายขาดสารอาหาร ขาดแร่ธาตุที่จำเป็น และขาดน้ำอย่างรุนแรง
จะเห็นได้ว่ายาที่ใช้ลดความอ้วนเหล่านี้ ล้วนมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ไม่ควรเสี่ยงนำมาใช้ แต่ถ้าอยากลดความอ้วนอย่างปลอดภัย แนะนำให้ใช้วิธีการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ซึ่งการควบคุมอาหารนี้ไม่ได้หมายถึงการอดอาหาร แต่เป็นการควบคุมให้ปริมาณแคลอรี่ที่รับเข้าไปสมดุลกับที่ถูกนำมาใช้ โดยลดอาหารที่เกินความต้องการประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ลองฝึกการกินให้เป็นเวลา วันละ 3 มื้อ ไม่กินพร่ำเพรื่อระหว่างมือ กินให้ช้าลงโดยเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน เพราะการกินเร็วจะทำให้กินได้มากขึ้น
แต่เนื่องด้วยภาวการณ์ดำเนินชีวิตในปัจจุบันเป็นไปด้วยความเร่งรีบ เวลาส่วนหนึ่งหมดไปกับการเดินทางระหว่างบ้านกับที่ทำงาน ไม่มีเวลาเหลือพอสำหรับการออกกำลังกาย การควบคุมอาหารก็ทำได้ยาก จึงเหลือวิธีสุดท้ายสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน คือการใช้อาหารลดน้ำหนัก

Ran ____ สวยระห่ำ___ o O




Oo_____ขวัญใจเกมส์ Ran __oO











วิธีลดความอ้วน วิธีลดน้ำหนัก





วิธีลดความอ้วน วิธีลดน้ำหนัก
ลดความอ้วน, ลดน้ำหนัก, วิธีลดความอ้วน, วิธีลดน้ำหนัก
ผู้สนับสนุน
,การลดน้ำหนักแบบธรรมชาติ
1.ไม่กินข้าวมื้อเย็น วิธีนี้เหมาะจะเป็นบันไดขั้นแรกสู่สูตรต่อๆ ไป โดยในมื้อเช้าและกลางวันสามารถกินได้ตามปกติ เฉพาะมื้อเย็นเท่านั้นที่กินอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ข้าว อาจจะหาจานเปล่ามา 1 ใบ ใส่ผักสดให้เต็มจาน แล้วกินกับกับข้าวไทยๆ อาทิ น้ำพริกปลาทู แกงส้ม แกงเลียง ยำ ลาบ งดกับข้าวมันๆ เช่นผัดผักมันๆ ของทอด และแกงกะทิ2.เลือก 1 วันในสัปดาห์สำหรับงดเนื้อสัตว์ ไขมัน ข้าว แล้วกินแต่ผลไม้อย่างเดียวทั้งวัน เช่น มะละกอสุก3.เปลี่ยนจากการกินเนื้อผลไม้มาเป็นการดื่มน้ำผลไม้วันละชนิด ติดต่อกัน 3 วัน4.อดเพื่อสุขภาพ 10 วัน โดยเริ่มจาก 2 วันแรกกินผลไม้ ต่อจากนั้นอีก 7 วันกินผักและผลไม้สดชนิดต่างๆ จนครบ 10 วัน ซึ่งใน 10 วันนี้ถ้าทำอย่างเข้มงวด น้ำหนักจะหายไปประมาณ 3-4 กิโลกรัม5.กินเนื้อกับผัก โลว์-คาร์บ(Low-Carb) คือกินได้ทุกอย่าง โดยไม่แตะคาร์โบไฮเดรตซึ่งรวมทั้งแป้ง ข้าว และผลไม้ให้น้อยที่สุดและกินผักปริมาณ 2 เท่าของเนื้อตามสูตรนี้แม้ว่าการที่ร่างกายไม่ได้รับพลังงานหลักจากคาร์โบไฮเดรตตามปกติ แต่ส่วนหนึ่งของพลังงานสำรองอาจเป็นโปรตีนจากกล้ามเนื้อ การกินเนื้อกับผักนานๆ จึงอาจส่งผลให้คุณผอมแบบกล้ามเนื้อหย่อนคล้อย จึงจำเป็นต้องรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ด้วยการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนไขมันเป็นกล้ามเนื้อได้ นอกจากนี้หากบริหารความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน อย่างการยกเวทไปพร้อมกันด้วย ก็จะช่วยเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อให้สวยงามและดูดียิ่งขึ้นด้วยนะคะ
เขียนโดย Thaiman ที่ 2:01 ก่อนเที่ยง

กินแป้งยังไงถึง..ไม่อ้วน
วิธีการที่จะทำให้การกินแป้งไม่อ้วนมี 2 วิธีคือ (1) การเลือกกินแป้งและน้ำตาล ที่มีดัชนี ไกลซีมิก ต่ำ - ดัชนีนี้เป็นตัววัดว่า อาหารพวกแป้งและน้ำตาลนี้จะมีผลต่อระดับของกลูโคสในเลือดอย่างไร หากมีค่าไกลซีมิกสูงเท่าไร ระดับกลูโคสในเลือดก็เพิ่มขึ้นเร็วเท่านั้นโดยปกติ กลูโคสจะถือว่ามีค่าไกลซีมิกอยู่ที่ 100 ส่วนแป้งและน้ำตาลอื่นๆก็มีค่าน้อยลงลดหลั่นลงมา หากอาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำกว่า 55 ถือว่ามีค่าไกลซีมิกต่ำ ส่วนระดับ 55-70 จัดว่ามีค่าอยู่ขั้นปานกลาง และระดับที่สูงกว่า 70 จัดอยู่ในขั้นสูงดังนั้น หากไม่อยากให้เกิดระดับกลูโคสในเลือดสูงเกินไป ก็เลือกกินแป้งและน้ำตาลที่มีค่าไกลซีมิกต่ำนั้นเอง>> แป้งและน้ำตาล ที่มีค่าไกลซีมิกสูง เช่น ขนมปัง (แม้แต่โฮลวีทที่มีวิตามินเยอะก็สูง) วัฟเฟิล แครกเกอร์ ข้าวขัดขาว มันฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็น เฟรนฟราย หรือ อบ>> แป้งและน้ำตาล ที่มีค่าไกลซีมิกต่ำๆ เช่น พวกแป้งและน้ำตาลที่อยู่ในถั่วโดยส่วนใหญ่ น้ำตาลในผลไม้ ข้าวซ้อมมือ พาสต้า หรือ สปาเก็ตตี้ ปัญหาหลักของการทานดัชนีไกลซีมิกสูงๆ คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการฟอกสีและกระบวนการผลิตที่ทำให้อาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำกลายเป็นอาหารที่มีค่าไกลซีมิกสูง อย่างพวกแป้งขัดขาวที่นำมาทำเป็นขนมปัง ดังนั้นไม่ถึงกับต้องงดหรือลดการทานแป้งและน้ำตาลคะแต่ให้เลือกพวกที่มีค่าไกลซีมิกต่ำเป็นหลัก(2) การออกกำลังกาย - การออกกำลังกายนี้จะไปกระตุ้นตับอ่อนให้ผลิตฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งคือ กลูคากอน มันมีหน้าที่ในการรักษาระดับของกลูโคสในเลือดไม่ให้ต่ำเกินไป โดยการสลายไกลโครเจนที่สะสมไว้เป็นกลูโคส รวมไปถึงการเอาไขมันที่สะสมมาใช้ด้วยซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าออกกำลังกายจึงทำให้คนเราผอมลง ดังนั้นอย่ากลัวแป้งและน้ำตาลมากจนเกินเหตุนะคะ แต่ให้เราเลือกการรับประทาน และออกกำลังกายไปด้วย น้ำหนักก็ลดลงได้คะ
เขียนโดย Thaiman ที่ 2:00 ก่อนเที่ยง
ป้ายกำกับ:


โยโย่ แอฟเฟค
คนที่เกิดอาการ โยโย แอฟเฟคนี้ โอกาสที่จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บก็จะง่ายกว่าคนที่น้ำหนักคงที่ วิธีแก้ไขโยโย่เอฟเฟคทำได้โดยการออกกำลังกาย และ ควบคุมอาหาร เพราะการออกกำลังกายนี้จะช่วยลดผลร้ายที่มีต่อระบบภูมิคุ้มกัน ที่เกิดจากการที่มีน้ำหนักที่ลดลง และทำให้น้ำหนักตัวคงที่ด้วย หากคุณคนไหนที่คิดจะกินยาลดความอ้วนโดยการกินยาลดความอ้วนว่าคุณจะต้องคิดไว้เสมอว่าเอาสุขวันนี้ แล้วจะมานั่งทุกข์ในวันข้างหน้าหรือ?สำหรับคนที่เจอ โยโย แอฟเฟค เข้าแล้ว สิ่งที่ต้องจำไว้ให้ดี คือ อย่าหวนคืนไปผิดเป็นครั้งที่สอง ที่สาม ที่สี่ ทางที่ถูกคือ หันมากินแบบเพื่อสุขภาพ และออกกำลังกายสม่ำเสมอคะ ถึงแม้ว่าร่างกายจะต้องใช้เวลาปรับตัวจาก โยโย แอฟเฟค บ้างแต่ให้ใจเย็นๆ คุณควรทานให้ครบทุกมื้อ ออกกำลังกายสม่ำเสมอและเมื่อเกิดโยโย แอฟเฟค อย่าพยายามลดครั้งใหม่โดยการกินอาหารแคลอรีต่ำๆอีกนะคะ
เขียนโดย Thaiman ที่ 2:00 ก่อนเที่ยง
ป้ายกำกับ:


วิธีแก้ผิวแตกลายจากการลดความอ้วน
สาวๆที่เคยอ้วน หรือเคยลดน้ำหนักบางคนมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับผิวแตกและลาย ซึ่งส่วนใหญ่มักพบว่าเกิดจากน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วไม่ได้เกิดจากผอมแล้วอ้วนอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากจะป้องกันผิวแตกลายก็อาจทำได้โดยลดความอ้วนโดยที่ไม่ได้ทำให้ เนื้อเยื่อมีความยืดหยุ่นมากก่อน เช่น การออกกำลังบริหารกล้ามเนื้อก็จะช่วยแก้ปัญหาที่จะเกิดนี้ได้ เพราะเมื่อคุณผอม กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันจะหดตัวลงตามไม่ทัน ทำให้ มีรอยเหี่่ยวและแตกลายแตกเป็นริ้วๆขึ้น ซึ่งมักจะเจอบ่อยในบริเวณ ผิวสะโพก น่อง หน้าท้อง และเต้านม ปัญหานี้จะไม่เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับคนผิวขาว แต่ในคนผิวคล้ำหรือผิวสองสี จะเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้กังวลใจมาก วิธีที่จะช่วยทำให้ดีขึ้นคือ คุณต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ความชุ่มชื่นกับผิวทาเพื่อบำรุงผิวในจุดนั้นๆคะ
เขียนโดย Thaiman ที่ 1:59 ก่อนเที่ยง
ป้ายกำกับ:
วันพุธ, เมษายน 1, 2009

การรู้จักกินและดื่มเพื่อหุ่นสวย
การลดน้ำหนักที่ดีก็คือ การควบคุมอาหารที่จะใส่ปากใส่ท้อง และรวมไปถึงเครื่องดื่มต่างๆให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะและจะต้องมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย ลองตรวจสอบกันดูสิว่า เรารับประทานอาหารและเครื่องดื่มกันถูกต้องเหมาะสมกันหรือไม่1. งดกินของทอด อาหารจำพวกทอดๆ ได้แก่ ไก่ทอด ลูกชิ้นทอด มันฝรั่งทอด และยังมีอีกหลากหลายเมนูทอดทั้งหลายที่ล้วนอุดมไปด้วยไขมัน ขอให้งดกินเด็ดขาด นอกจากจะจับตัวเป็นชั้นไขมันตามร่างกายแล้วยังก่อให้เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาอีกมากมายอย่าลังเลที่จะงดกินของเหล่านี้กันเลย2. เลิกกินกาแฟกับขนมปังมื้อเช้า มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด ร่างกายควรจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนมีประโยชน์มากกว่ากาแฟหนึ่งแก้วและขนมหนึ่งแผ่นเท่านั้น เปลี่ยนเป็นนมกับซีเรียล โจ๊กสักชาม หรือข้าวกับแกงจืดก็ยังได้ เพราะอาหารมื้อเช้าจะถูกนำไปใช้เป็นพลังในการทำงานระหว่างวันมากกว่ามื้ออื่น3. กินผักผลไม้ให้ได้ทุกมื้อ ถ้าเป็นเป็นไปได้ควรกินผักและผลไม้สดๆให้ได้ครบทุกมื้อ เพราะผักและผลไม้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อุดมไปด้วยสารอาหารและใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย อายุก็ยืนยาวและไม่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักส่วนเกินอีกด้วย4. ดื่มน้ำผักผลไม้ หากว่าการหาโอกาสกินผักผลไม้สดๆเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะการกินให้ได้ทุกมื้อและในจำนวนปริมาณที่มากๆ วิธีหนึ่งที่เป็นทางแก้ก็คือการดื่มน้ำผักผลไม้แทน โดยหาเครื่องสกัดน้ำผักผลไม้มาสกัดน้ำดื่ม จะได้ประโยชน์มากทีเดียวเพราะร่างกายจะดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้เร็วกว่าการรับประทานผักผลไม้สดๆ ถ้าไม่มีเครื่องสกัดน้ำผลไม้ เครื่องปั่นธรรมดาก็พอที่จะทำได้ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆใส่น้ำผสมเข้าไป ปั่นแล้วกรองเอาแต่น้ำดื่ม แต่มีข้อยกเว้นว่าต้องไม่เป็นผลไม้ที่มีรสหวานจัด เพราะสามารถทำให้อ้วนได้เหมือนกัน5. งดดื่มน้ำอัดลมโดยเด็ดขาด น้ำหวานน้ำอัดลมไม่จำเป็นจริงๆก็ขอให้งดดื่มโดยเด็ดขาดเพราะน้ำอีดลมประกอบไปด้วยน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ แล้วน้ำตาลส่วนเกินที่ได้รับจากการดื่มน้ำอัดลมก็จะไปสะสมในร่างกาย ทำให้อ้วนและกลายเป็นโรคเบาหวานในที่สุด6. ลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อ ขอย้ำว่าให้ลดปริมาณอาหารที่รับประทานแต่ละมื้อ เคยกิน 2 จาน ก็ให้เหลือ 1 จาน เคยกินจานโตๆ ก็ลดมาเหลือครึ่งจาน ไม่ใช่ให้อดอาหาร การอดอาหารจะทำให้ร่างกายอ่อนแอขาดภูมิต้านทาน และเมื่อกินมื้อต่อไป ร่างกายจะทำการสะสมเป็นไขมันเพื่อชดเชยมื้อที่อด 7. อย่าปล่อยให้หิวมากเกินไป การปล่อยให้มีความรู้สึกหิวจนท้องไส้กิ่ว บิดไปบิดมา ไม่ว่าจะเป็นเพราะยอมอดเพื่อความผอมหรือไม่ได้อด แต่รู้สึกหิวจริงๆ ละก็ อย่าปล่อยให้รู้สึกหิวจนทรมานอย่างนั้น หาอะไรเป็นของว่างประเภทผลไม้ไม่มีรสหวานก็ได้ กินพอระงับความหิว เพราะถ้าปล่อยให้ตัวเองหิวจัดมากๆ พอถึงเวลากินอาหารแล้วจะกินมากกว่าเดิมเป็น 2-3 เท่าเชียว8. เคี้ยวอาหารให้ละเอียดอย่างช้าๆ คนที่กินอาหารด้วยความรวดเร็วจนเหมือนว่าไม่ได้เคี้ยวอาหารเลยสักนิด นอกจากจะทำให้กระเพาะทำงานหนักในการย่อยอาหารแล้ว ยังทำให้ท้องอืดและกินอาหารได้มากกว่าปกติ เพราะยิ่งกินเร็วก็เหมือนว่ากินได้น้อยและไม่อิ่มเสียที กว่าจะรู้สึกอิ่มก็แน่นท้องเสียแล้ว โดยปกติเราจะรับรู้ว่าอิ่มก็ใช้เวลาประมาณ 20 นาที กว่ากระเพาะจะส่งสัญญาณให้รับรู้ว่าอิ่ม คนที่กินเร็วๆ จึงมีโอกาสกินมากเกินความต้องการของร่างกาย9. ดื่มน้ำก่อนกินอาหาร ดื่มน้ำสัก 2 แก้วก่อนรับประทานอาหารไม่เกิน 30 นาที เพราะเมื่อมีน้ำอยู่ในกระเพาะ จะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น แม้ว่าอยากกินก็กินต่อไม่ไหว10. เลี่ยงการกินไขมันแต่ไม่ใช่งดกิน ไขมันมีทั้งประเภทไขมันแบบดีเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย และแบบไม่ดีไม่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย เราจึงไม่ควรจะงดกินไขมันไปเสียทุกประเภท อะไรบ้างที่เป็นไขมันแบบดี ก็คือไขมันที่ได้จากปลา จากพืช เพราะไขมันเหล่านี้เป็นไขมันไม่อิ่มตัว จะไปช่วยลดการสะสมของไขมันที่จะไปอุดตันเส้นเลือด แล้วเจ้าไขมันแบบที่ไม่ดีล่ะ ก็คือ ไขมันจากสัตว์ กินเข้าไปมากๆ ก็จะสะสมก่อให้เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด ดังนั้นจึงควรเน้นกินไขมันประเภทไขมันแบบดีมีประโยชน์ให้มาก11. กินมังสวิรัติ ถ้าเป็นไปได้ลองกินอาการมังสวิรัติเป็นประจำก็จะดีมีประโยชน์ เพราะเมนูอาหารจะเป็นผักเสียส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องระวังอย่ากินแป้งมากเกินไป เลี่ยงอาหารจำพวกผัดๆ ทอดๆ ที่มันมากเกินแล้วก็อย่าลืมกินโปรตีนจากถั่วแทนเนื้อสัตว์ด้วยละ12. ดื่มนมพร่องมันเนย หากว่าดื่มนมเป็นประจำก็สามารถดื่มได้ แต่ให้เลี่ยงเป็นนมพร่องมันเนยแทน จะได้ไม่อ้วน เพราะร่างกายของเราเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ไขมันจากนมจึงไม่จำเป็นมากนัก
เขียนโดย Thaiman ที่ 2:01 ก่อนเที่ยง
ป้ายกำกับ:

วิธีลดความอ้วน วิธีลดน้ำหนัก
วันนี้ขอเสนอวิธีลดน้ำหนักลองที่สามารถนำมาใช้ ลดความอ้วนแบบโลคาร์บกันได้เลยค่ะ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีลดความอ้วนที่เน้นตรงที่เราจะทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตต่ำและดีกับร่างกายเช่น ผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง โฮลวีต ธัญพืช และพืชตระกูลถั่ว เป็นต้น โดยจะแบ่งเป็น 3 ช่วง และเหมาะกับคนที่ชอบทานอาหารหลากหลาย โดยมีเคล็ดลับคือ ดื่มแอ๊บเปิ้ลไซเดอร์วีนีการ์ เจือจางทุกเช้า เพื่อช่วยย่อยและขับของเสียออกจากร่างกายค่ะ ถ้าหาไม่ได้ใช้มะนาว 1 ลูกบีบใส่น้ำอุ่น ดื่ม 1 แก้วทุกเช้าแทนได้ค่ะช่วงที่ 1 เน้นการรับประทานแต่กับข้าว และผักปรุงด้วยน้ำมันมะกอก (ถ้าสามารถหาได้) กับข้าวควรปรุงด้วยเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน ไก่ไม่ติดหนัง ไข่ ปลา อาหารทะเล นม ไขมันต่ำ ผลิตภัณฑ์จากนม ถั่ว และน้ำมันมะกอก ทานได้มากเท่าที่ต้องการ คุณสามารถทานยำ ส้มตำ เกาเหลา สเต๊ก ราดหน้าหรือพาสต้าเกาเหลาได้ค่ะ จะเน้นว่าไม่ใส่เส้น หรือแม้แต่วุ้นเส้นก็ไม่ใส่นะคะ ช่วงนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์ค่ะช่วงที่ 2 หลังจากผ่าน 2 สัปดาห์แรกในช่วงที่ 1 มาแล้ว เราสามารถเพิ่มคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายต้องการได้ค่ะ แต่ต้องเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากผลไม้ โฮลเกรนต่างๆ ได้แก่ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ แป้งหรือขนมปังที่ไม่ขัดสี พืชตระกูลถั่ว และซีเรียลต่างๆ เพิ่มได้เพียง 1 อย่างต่อวันค่ะ ค่อยๆ เพิ่มปริมาณคาร์โบไฮเดรตนะคะ อย่ามากเกินไป ลองจดบันทึกว่า แต่ละวัน เรากินอะไรไปบ้าง ให้ผลอย่างไรบ้างนะคะ จะทำให้เรารู้ว่า เราทานคาร์โบไฮเดรตชนิดไหน ทำให้เราลดน้ำหนักได้ดีกว่า ให้อยู่ในช่วงนี้จนกว่า จะลดน้ำหนักจะลงมา จนคุณพอใจค่ะ ส่วนใหญ่จะลดได้ 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ค่ะช่วงที่ 3 เป็นช่วงที่ทุกคนชอบมาก เพราะสามารถทานอะไรก็ได้ เพราะได้เรียนรู้ในช่วงที่ 2 แล้วว่าอะไรที่เป็นประโยน์ ทานแล้วได้ผลดีกับเรา เราก็ทานสิ่งนั้นค่ะ หากว่าน้ำหนักขึ้น ก็สามารถย้อนกลับไปแก้ไข ตามแบบช่วงที่ 1 ใหม่ได้ค่ะ เพียง 1-2 สัปดาห์ ก็จะกลับมาสวยเหมือนเดิมค่ะ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ คุณจะต้องทำไปตลอดจนเป็นนิสัยค่ะ แล้วคุณจะควบคุมน้ำหนักได้ระยะยาวเลยทีเดียวค่ะ

เกมส์ สื่อ คน ใครกันแน่ที่ผิด




เกมส์ สื่อ คน ใครกันแน่ที่ผิด
เกมส์มีทั้ง 2ด้านนะครับ อยู่ที่ว่าจะใช้ไปในด้านไหน แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถแนะแนวทางได้
บ้านเมืองเราก็แปลกนะ มีเรื่องข่าวเยาวชนอะไรก็โทษเกมส์ การ์ตูน หนังสือการ์ตูน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร.... การที่เด็กมานั่งเล่นเกมส์ ยังดีกว่าให้ไปทำอย่างอื่น แต่ก็เป็นเรื่องปกติของผู้ใหญ่บางคนที่ไม่เข้าใจเรื่องเกมส์เพราะสำหรับพวกเขามันคือเรื่องไร้สาระ แต่ผมกลับเล่นแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอย่างอื่นนอกจาก สนุก ภาพสวย เกมดี คิดได้ไงและทำมันแบบไหน อยากทำได้ผมจำได้ผมก็คนหนึ่งล่ะรู้จักคอมพิวเตอร์และพอใช่เป็น ก็จากเกมส์คอมพิวเตอร์ เล่นมาหมดไม่ว่าภาพจะมีกี่มิติ 2D 3D online offlineก็ตามเช่นเกมส์ StarCrat conter command sim หรือเก่าๆไปอีกได้แก่ contra ร็อคแมน mario บอมเบอร์แมน Ro กีฬา หรืออื่นๆฯลฯทุกวันนี้ผมและน้องชายก็ยังเล่นๆอยู่เลย ไม่จะเกมส์ฟุตบอลFM หรือDotA ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นกับผมและน้อง ผมยังทำงานได้เต็ม100 น้องชายยังเรียนได้ อยู่ในเกรดที่ดีเมื่อก่อนเล่นจนเคยเล่นติด แบบ2วันไม่หลับนอนเล่นเกมส์อย่างเดียวก็เคยมาแล้ว อย่างเกมส์ที่เป็นข่าวดังๆอยู่ตอนนี้ก็เคยนะครับ GTAสำหรับ GTA ส่วนตัวผมพูดได้เต็มปากว่า เกมนี้รุนแรงเกินไป สำหรับบางคน ที่ไม่มีวุฒิภาวะ, สภาพจิตใจ ที่เหมาะสมพอ แต่พอได้ยินข่าวเรื่องที่ว่า"เด็ก 18 ฆ่า Taxi ตามเกม GTA" ก็แปลกใจนะครับ ว่าจริงหรือ ใช่หรือ ที่ว่าทำเลียนแบบมันมาจากสาเหตุอะไรกันแน่ เพราะเกมส์ เด็ก สังคม ข่าว หรือว่าเพราะอะไร ลองคิดเล่นๆนะครับเกมรุนแรง + คนธรรมดา = ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในขณะที่ เกมรุนแรง + บุคคลการประมวลผลบกพร่อง = คดี
เคยเกิดจากประสบการ์ณตรงเรื่องพ่อแม่บางคน บอกว่าจะซื้อคอมพิวเตอร์ให้ลูก(ไม่เกิน8ขวบ) นะ ช่วยดูๆซื้อให้หน่อย เหตุผลแค่ว่า อยากให้ลูกอยู่กับบ้าน ไม่อยากให้ลูกออกไปเล่นตามร้านเกมส์ กลัวว่าจะมั่วๆตามเพื่อนๆซื้อเสร็จแล้วก็ปล่อยให้ลูกเล่นไปคนเดียวตามชะตากรรม ไม่สนใจว่าลูกนั่งทำอะไรหน้าจอมิเตอร์ขอแค่ให้ลูกอยู่ตรงนี้ สงบปากสงบคำ ไม่เล่นวุ่นวายก็เพียงพอ พ่อแม่มองว่าเกมเป็นเรื่องสำหรับเด็ก คงไม่มีอะไร เป็นความเชื่อที่ผิด
ผมว่าเกมส์สามารถสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวได้ดีทีเดียว พ่อแม่สามารถรับถึงวิวัฒน์พัฒนาการของลูกแล้วว่าเขาคิดอะไร สนใจอะไร พ่อแม่ยังสอนถึงจิริยธรรมในสิ่งที่ลูกกระทำอยู่ในเกมส์ ว่าถูกหรือผิด ผมมันเป็นช่องทางเลือกอีกช่องทางหนึ่งที่ดี ไม่ได้ใช้แต่ปากพร่ำสอนๆไป แล้วมาบ่นว่า สอนแล้วไม่จำหรือใช่ความรุนแรงตีเด็ก ว่านั้นผิดนะ อย่าทำอีก สู้เราใช่เหตุและผล ไม่ดีกว่าหรือครับ อย่างเช่น GTAเราเป็นโจร ต่อให้ถึงจะเก่งแบบไหนสุดท้ายก็แพ้ตำรวงอยู่ดี หรือ สู้ได้แต่จะไปไหนมาไหนก็เจอแต่ตำรวจ อยู่แบบไม่มีความสุขอยู่ดี
ในเมื่อตอนนี้เทคโนโลยี มันมาเร็วมากๆแต่ผู้ใหญ่ยังอยู่ในมุมมองเดิมๆแบบนี้อยู่ ทำไม
เคยได้ยินว่า internet ความรู้อยู่เต็มกิโล ถ้านั่งดูแต่....ยกมือขึ้น
ผมแค่อยากจะบอกว่า ผู้ใหญ่หรือสังคม อย่างมองจากสื่อแค่ว่านำเสนออะไรให้เราแล้วเราก็เชื่อตามนั้น อยากให้มองลงไปลึกๆว่าแท้จริงคืออะไรอย่างข่าวนี้สื่อ ออกมาแรกๆยังมั่วเลย บอกว่าเกมส์GPA มั้งล่ะ เป็นเกมส์online ผมนี้งงเลยเกมส์อะไรว้า ไม่เคยเล่นเสียหน่อย หรือได้ยินเลยจำได้ดูทีวีข่าวออกมาแบบนี้ สักพักก็ม็ข้อความsmsจากทางบ้านบอกว่ามั่วแล้ว มันคือเกมส์ GTA แล้วก็ไม่ได้ เกมส์onlineเสียหน่อย สื่อหน้าแตกไหมนี่ผมมองว่า ตรงไม่ได้ไม่สาระสำคํญที่มาบอกชื่อเกมส์ผิด แต่มองว่าสื่อเอาแหล่งข่าวมาจากไหนกัน ทำไมไม่มีตรวจสอบให้มันจริงก่อนจะเผยแพร่ล่ะ คุณลองคิดเล่นดูว่า ถ้ามันไม่ใช่เกมส์ล่ะ แต่เป็นอย่างอื่นล่ะ ที่แรงกว่า และไม่มีการตรวจสอบกัน อะไรจะเกิดขึ้นแล้วผมก็ไม่เห็นกะที่ว่าจะมีการแบบเกมส์บางเกมส์ไป เพราะในแต่ล่ะเกมส์เขาก็บอกชัดเจนแล้วว่าเหมาะสมก็ อายุเท่าไร เช่น 3 ขวบขึ้นไป ไม่เหมาะกับอายุไม่ถึง18 หรือ18+
อย่างที่เราๆดูตามรายการทีวีน่ะที่ ผมว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเกินไปนะครับ (แต่ก็ยังดีกว่าไม่แก้) ลองคิดง่ายนะครับ อย่างละคร มีคำว่า หล่อน ยะ หรือพ่อ-แม่นั่งดูละครนางเอกแต่งตัวโป๊ โชว์นม ลูกตัวเองเห็นดาราที่ชอบก็แต่งบาง ก็กลับด่าก่อนที่จะสอน - -*หรือแม้กระทั่งปืนจี้หัว แต่ก็แค่เซนเซอร์ นิดๆ ขวดเหล้าเบียร์ก็ทำนิดๆ ถามหน่อยเถอะว่า เด็กๆ มันดูไม่ออกหรือครับ ว่าเค้าทำอะไรกัน - -*
เอ๊า...ผมแนะง่ายๆ อย่างที่ผมเคยสอนหลานๆผมนะครับ ตอนเล่นเกมส์นะครับ เกมส์ต่อสู้ แตะ ต่อย กัน บอกว่า...เห็นรอยซ้ำๆเลือดออกไม ถามดูว่าถ้าเป็นเราจะเจ็บไหม แล้วบอกแนวๆว่าอย่าใช้ความรุนแรง ให้ใช่เหตุผลดีกว่า เกมส์วางแผน บอกว่า... เห็นถ้าวางแผนออกไปแบบนี้เราก็แพ้อีก ลองคิดๆใหม่ว่าจะวางแผนแนวไหนดี เกมส์กีฬา บอกว่า...สอนถึงกฎ ระเบียบ ได้ผมพวกแบบนี้ แล้วแต่แนวการสอนนะครับ ของแต่ล่ะบุคคลนะครับ แต่สิ่งที่ผมมักจะสอนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ด้านอื่นๆด้วย เช่น ซ่อม ดูแล หรือประโยชน์ด้านอื่นๆที่ไม่ใช่ แค่มีไว้เล่นเกมส์อย่างเดียว
ผมว่ามันก็คล้ายๆก็Km เหมือนกันน่ะ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันและกันนะครับ ระหว่าคนในครอบครัวเดียวกัน ระหว่างพ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง กันนะครับ
ครอบครัวผม ยังจำได้เด็กๆ พ่อยังมาเล่นเกมส์กับลูกๆเลย ถึงแม้ว่าแม่จะไม่ได้เล่นด้วยก็ตามที แต่ก็เป็นออกระเบียบว่าเล่นเวลาเท่าไร อ่านหนังสือทำการบ้านก่อนค่อยไปเล่น ทุกวันนี้ถ้ามีโอกาสยังชวนพ่อเล่นเกมส์เลย อิอิ อย่างน้อยก็ชวนผ่อนคลาย+พักผ่อนในตัวเลย เกมส์น่ะได้อะไรหลายๆกว่าที่เราคิดน่ะครับ
สมัยนี้เด็กๆเล็กๆผมยังเก่งและมีความสามารถด้านคอมพิวเตอร์เก่งกว่าผู้ใหญ่บ้างคนเสียอีก ในเมื่อเด็กมีความสามารถ แต่ขาดด้านอื่นๆทำไมผู้ใหญ่ไม่แนะนำล่ะ

วิธีทำให้ผิวขาว 27 วิธี... บอกลาผิวหม่นหมอง


ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับวิธีทำให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู 27 วิธี บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย... 1. การขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบนสุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่ อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่า อยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้ว เซลล์ผิวเก่าก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวา และดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง 2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิว ก็ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่างๆ เช่น ใยบวบ หรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง 3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และหากขัดมากเกินไป ก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย 4. ถ้าไม่กำจัดออกไป ผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือ ผิวจะหม่นหมอง ดูแล้วมีความมัน หรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดี ทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว 5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง 6. วิธีการขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบ และผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย 7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียน ใช้น้ำล้างออกให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น 8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็น เม็ดกลม เพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอก ขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาด แล้วล้างออกด้วยน้ำมากๆ 9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติ เป็นอุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไป อาจทำให้แสบผิวได้ เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสาก และหยาบ เวลาขัด จึงควรขัดเบาๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำ และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง 10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิว โดยใช้ร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้ 11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่าง เติมเกลือเม็ดลงไป และเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบาๆ ให้ทั่วตัว และล้างตัวด้วยน้ำสะอาด 12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบาๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป หรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้ 13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ควรเริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติ ผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนานๆ 14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็กๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด 15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ, น้ำตาล, อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอม อีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด 16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่ายๆ ด้วยการใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อย แต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ 17. มะขามเปียก, สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวขาวใส มีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อนๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรด เหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก, ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง ลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรดมาก 18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถ นำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับ ทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น 19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่นเกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว, ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว, น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง, งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง และกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการเสียดสี 20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้ 21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลัก...ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือ ใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง 22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่าย ใช้แค่งาขาว, งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ 23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่น และเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิว แต่เกรงว่าผิวจะแห้ง เกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้ว น้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป 24. การเพิ่มนม, โยเกิร์ต, น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิว สามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อย จับตัว อยู่บนผิวได้ และสะดวกแก่การขัด 25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหย เข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้ 26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง, ต่อมน้ำเหลือง-โต, มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมากขึ้น 27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อยๆ เน้นไปที่ร่องจมูก เลี่ยงจุดที่บอบบางมากๆ เช่น รอบดวงตา

: การทำปุ๋ยชีวภาพ และการประยุกต์ใช้กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ


น้ำหมักชีวภาพเมื่อนำไปใช้ในด้านกสิกรรม จะช่วยปรับสภาพความเป็น กรด - ด่างให้เป็นกลางในดินและน้ำ ช่วยแก้ปัญหาจากแมลงศัตรูพืช และโรคระบาดต่าง ๆ ช่วยปรับสภาพดินให้ร่วนซุย อุ้มน้ำ และให้อากาศผ่านได้อย่างเหมาะสมช่วยย่อยสะลายอินทรีย์วัตถุให้เป็นอาหารของพืช พืชจะดูดซึมไปใช้ได้เลย และช่วยให้ผลผลิตคงทน มีคุณภาพสูง สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานเมื่อนำน้ำหมักชีวภาพไปใช้ทางการประมง จะช่วยปรับสภาพน้ำให้เป็นกลางควบคุมคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ ช่วยรักษาโรคแผลต่าง ๆ ในปลา กุ้ง กบได้ และช่วยลดปริมาณขี้เลนในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำได้
ถ้านำไปใช้ในด้านปศุสัตว์จะทำให้มูลสัตว์ไม่มีกลิ่นเหม็น สุขภาพของสัตว์จะแข็งแรงและปลอดโรค คอกสัตว์จะไม่มีกลิ่นเหม็น ช่วยบำบัดน้ำเสียจากฟาร์มปศุสัตว์ ทำให้อัตราการตายต่ำลง และผลผลิตสูงขึ้น
เมื่อนำน้ำหมักชีวิภาพไปประยุกต์ใช้ในด้านรักษาสิ่งแวดล้อม จะช่วยกำจัดกลิ่นและย่อยสลายตะกอนในส้วม ทำให้ส้วมไม่เต็ม ทำความสะอาดพื้นห้องการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ โรงงานอุตสาหกรรม ชุมชน และสถานประกอบการทั่ว ๆ ไป ปรับสภาพอากาศภายในห้องนอน ห้องรับแขก ห้องครัว ให้สดชื่นกำจัดกลิ่นอับชื้นต่าง ๆ ได้นอกจากนี้ยังให้ฉีดพ่นกองขยะเพื่อลดกลิ่นและปริมาณของกองขยะให้เล็กลงรวมทั้งจำนวนแมลงวันด้วย

การทำไข่เค็ม


การทำไข่เค็ม
วัสดุอุปกรณ์
1. ไห หรือภาชนะบรรจุ
2. เกลือเม็ด 1 ถ้วยตวง
3. น้ำ 4 ถ้วยตวง
4. ไข่เป็ด 10 ฟอง
5. หม้อต้ม
6. เตาไฟ
7. ถุงพลาสติก
8. ยางรัด
9. ผ้าขาวบาง
10. สารส้ม
วิธีทำ
1. ตวงน้ำและเกลือตามอัตราส่วน ต้มให้เกลือละลายทำการกรองทิ้งไว้ให้เย็น
2. ล้างไข่เป็ดให้สะอาด ผึ่งลมให้แห้ง วางเรียงในภาชนะบรรจุ
3. เทน้ำเกลือลงในภาชนะบรรจุ
4. นำถุงพลาสติกใส่น้ำเกลือมัดปากถุงให้แน่นนำมาวางกดทับไข่ (ไข่ต้องจมอยู่ในน้ำเกลือตลอดเวลา)
5. นำผ้าพลาสติกปิดปากไหมัดให้แน่นปกปิดมิดชิด เก็บไว้ประมาณ 21 วัน
6. เมื่อครบ 21 วันนำไข่ออกมาล้างให้สะอาดนำไปต้มใช้ไฟปานกลาง นานประมาณ 30 นาที (ในขั้นตอนนี้ให้ใส่สารส้มเล็กน้อยเพื่อให้สารส้มกัดสีผิวของเปลือกไข่ ให้ขาวนวลดู สะอาดสวยงาม น่าซื้อ น่ารับประทาน)
ไข่เค็มสูตรนี้เมื่อต้มเสร็จแล้วสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน อย่างน้อย 25 วัน
ที่มา : เอกสารประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

นิทานอีศพ เรื่อง เต่ากับกระต่าย


จนนี่ เป็นกระต่ายตัวใหญ่ ใคร ๆ จึงเรียกเธอว่า อีกระต่ายควายใครจะเรียกมันว่าอย่างไรก็ช่าง มันก็มิได้มีเวลาที่จะสนใจข้อคิดเห็นของสัตว์ร่วมป่าที่มีต่อมันสักเท่าไหร่เพราะมัน..ก็เหมือนกับนักธุรกิจที่มีเรื่องยุ่งตลอดทั้งวันเช่น เช้าวันนี้ อีกระต่ายควายเดินทางล่าเหยื่ออยู่แถวแนวป่าหลังเขามันไม่ได้ล่าเหยื่อเพื่อเอามาเป็นอาหารมันล่าเพียงเพื่อต้องการชัยชนะศัตรูที่มันตามล่าก็คือเจ้าเต่าติดอ่างอีกระต่ายควาย : ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ ซ้าย ขวา ซ้าย เอ้า ซ้าย ขวา ซ้ายเต่าติดอ่าง : ม- ม- มึง มึง อ-อิ-อี ด- ด่อ -ด็อก-ดอก ย-ย-อย่า ม-มา ยุ่ง กับ กูอีกระต่ายควาย : อุ๊ย ต๊าย เริ่มพูดปร๋อได้แล้วนะ..ตัวเอ๊ง อยากรู้จังจะวิ่งได้ไวเหมือนอย่างที่พูดหรือเปล่า ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่เต่าติดอ่าง ( เลือดขึ้นหน้า ซู่ ซู่ ) : ม- ม- มึง มึง ม- มา วิ- วิ่ง วิ่ง วิ่ง แข่ง ก-กะ-กับ ก-ก กู ม-ม-ไหม และแล้วเรื่องก็เริ่มเข้าทางอีดอกกระต่ายควาย เฮ้อ พี่เต่า หนอ พี่เต่ารายงานสดจากขอบสนาม โดย หมีพูติ๊ก !15 วินาทีผ่านไปกระต่ายควาย ++++> 127 เมตร ( ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ ย๊ะฮู้ )เต่าติดอ่าง ++++> 0.8 เมตร ( ต-ต-ตวม-ต้วม ต-ต-เตียม-เตี้ยม)168 วินาทีผ่านไปกระต่ายควาย ++++> 1.362 กิโลเมตร ( ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ ย๊ะฮ่า )เต่าติดอ่าง ++++> 1.4 เมตร ( ต-ต-ตวม-ต้วม ต-ต-เตียม-เตี้ยม แฮ-แฮก-แฮ่ก แฮ่ก)841 วินาทีผ่านไปกระต่ายควาย ++++> 1.362 กิโลเมตร ( ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮ-ฮา-ฮ้าว เฮ้ย กูกระต่าย มึงมั่วแล้วไอ้คนเขียน )เต่าติดอ่าง ++++> 7.6 เมตร ( ย-อยา-อย่า ห-ให้ ก-ก-กู กู พู-พุด-พูด ก-กู น-นะ-เหนื่อย โว้ย)……2657 วินาทีผ่านไปกระต่ายควาย ++++> 1.740 กิโลเมตร ( ฮ้าวววว )เต่าติดอ่าง ++++> 32.1 เมตร ( ป-ปอ ต-เต-เต็ก ตึ-ตึ๊ง ย-อยู-อยู่ น-นา-หนาย ช่วย กุ-กู ดัว-ด้วย)บทสัมภาษณ์พิเศษกระต่ายควาย : แวะกินส้มตำกันก่อนดีไหมคะ พี่พูขาหมีพู : เอาซิจ้ะ น้องจ๋า(เสียงบรรยาย)ด้วยความชะล่าใจ กระต่ายควายได้ยัดห่าส้มตำปูสองครกรวมทั้งข้าวเหนียว 4 กระติ๊บลงไปในกระเพาะของมันด้วยความเหนื่อยล้า กระต่ายควายก็ได้หลับ..ฟุบ คาจานข้าวเหนียวบัดเดี๋ยวนี้บทสัมภาษณ์พิเศษเต่าติดอ่าง : ร-แร-แรง ย-เย่อ-เย่อร์ หมีพู : เฮ้ย ไอ้พี่เต่า หายไปไหนวะ(เสียงบรรยาย)กระดกแรงเย่อร์ ฉับพลันเต่าก็อันตรธานหายไป หายไปไหน ? อย่างไร ?5439 วินาทีผ่านไปกระต่ายควาย ++++> 1.740 กิโลเมตร ( คร่อก ฟี้ คร่อก ฟี้ ถุย ถุย แพร่ด ปุ๋ง คร่อก ฟี้ คร่อก ฟี้ )เต่าติดอ่าง ++++> 1.831 กิโลเมตร ( ก๊ากก กั่ก กั่ก กั่ก ปรู๊ดปร๊าด เฟี้ยวฟ้าว )7634 วินาทีผ่านไปกระต่ายควาย ++++> 1.740 กิโลเมตร ( งัวเงีย งัวเงีย กูอยู่หนายวะ หนูอยู่หนาย )เต่าติดอ่าง ++++> 1.831 กิโลเมตร ( ซ่วบ ซ่วบ ซ่วบ ซ่วบ )(เสียงบรรยาย)และแล้วฤทธิ์ของเครื่องดื่มให้กำลังงานก็หมดลงในวันเลิกทาสกระต่ายวิ่งจี๋พุ่งเข้าหาเส้นชัยทันทีที่มันมีสติ รู้สึกตัวถึงการแข่งขันที่กำลังดำเนินอยู่เต่าติดอ่างก็กลับติดอ่างดังเดิมและต้วมเตี้ยม ต้วมเตี้ยม..ต่อไปหมีพู : อีกไม่ถึง 3 เมตรเต่าติดอ่างก็จะกลายเป็นผู้ชนะแล้วครับท่านแต่เอ๊ะ อย่าเพิ่งด่วนสรุปครับ การแข่งขันยังไม่ทันจบ อะไรก็เกิดขึ้นได้นังกระต่ายควายบึ๊ด จ้ำ บึ๊ด แหกโค้งมาแล้วครับ โอ้…ดุเดือด ฟ้วบบบบบบบ !!!!กระต่ายตกลงไปในหลุมที่เต่าดักไว้มันเหงื่อแตกพลั่กด้วยความกลัวเด็กทุกคนรู้ดีว่าขนมอร่อยต้องค่อย ๆ เล็มกินช้า ๆเต่าก็รู้เช่นกันอีกระต่ายควายเริ่มใช้เท้าตะกุยขึ้นสู่ปากหลุมหลุมนั้นลึกเกินกว่ามันแหกปากร้องด้วยความตื่นตระหนก..เสียงนั้นวิ่งผ่านแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเต่าราวกระแสไฟฟ้าหมื่นโวลต์ทำให้จิตใจของมันเต้นเร่าอย่างเป็นสุขมันได้ยินเสียงกระต่ายตะกุยดินขุดรูเพื่อหาทางหนีอย่างสุดชีวิตเต่าติดอ่างซึมทราบเป็นอย่างดีว่าไม่ช้าเสียงตะกุยดินจะต้องหยุดเพราะไม่มีทางไปได้จริงดังที่กระต่ายคิดไม่ช้าเสียงนั้นก็เงียบหายไปเต่ากระโจนลงหลุมมันพยายามสอดขาลึกเข้าไปจนกระทั่งสัมผัสผืนหีแสนนุ่มของกระต่ายก่อนที่อะไร อะไรจะเกิดมันก็ได้ยินเสียงดินทลาย และ…สัตว์จำนวนมากมายประดังประเดมาบนร่างของมันและเจ้ากระต่ายเรื่องจบลงด้วยเหล่าบรรดาสิงสาราสัตว์ในป่ารุมโทรมนังกระต่ายควายปากหมานิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าผู้หญิงที่ปากหมาปากของท่านอาจเต็มไปด้วยควยเช่นเดียวกับกระต่าย

นิทานอีสป





ใครหนอ...สร้างนิทานอีสป
นิทานที่ได้รับความนิยมและเชื่อว่าเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกมากที่สุดรวมถึงในประเทศไทยด้วย คงหนีไม่พ้นนิทานอีสป ซึ่งนอกจากจะมีเรื่องราวสนุกสนานแล้วด้านหลังเล่มยังมีคติสอนใจจากเนื้อเรื่อง ด้วยคำว่า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...
หลายคนนึกสงสัยว่า ใครหนอ ช่างคิดเรื่องราวที่สนุกและแฝงแง่คิดที่ใช้ได้ไม่ล้าสมัยน้า...
วันนี้มีคำตอบมาเฉลยให้หายสงสัย
"นิทานอีสป" มีต้นกำเนิดอยู่ที่อาณาจักรกรีกโบราณ ซึ่งเจ้าของเรื่องเล่าอันสุดแสนสนุกไม่ใช่นักปราชญ์แต่เป็นทาสที่ไร้การศึกษาแต่เปี่ยมไปด้วยเชาวน์ปัญญาต่างหาก!!!
และชื่อของเขาคือ อีสป ซึ่งเป็นที่มาของชื่อนิทานอีสปนั่นเอง
อีสปเป็นชายผิวสีชาวแอฟริกาที่มีชีวิตอยู่ในนครรัฐกรีกและต้องการทำมาหากินโดยการขายตัวเป็นทาส แต่โชคร้ายที่รูปร่างหน้าตาของเขาไม่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานที่พิจารณาคนที่มีความสามารถด้านการต่อสู้เป็นหลัก แต่พระเจ้ากลับประทานมันสมองอันเลอเลิศให้แก่อีสปเป็นการตอบแทน เขาจึงหันมาใช้สติปัญญาในการหาเลี้ยงชีพแทนการใช้กำลัง
สุดท้ายแล้วอีสปก็สามารถเอาชนะใจคนกรีกได้ ด้วยการเล่าเรื่องธรรมดาๆ แต่สอดแทรกด้วยปรัชญา แง่คิด และคติสอนใจต่างๆ ซึ่งเมื่อใครได้ฟังก็สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ อีกทั้งยังนำคติสอนใจที่ได้รับไปประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวันของตัวเองได้ด้วย
ลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งของเรื่องราวจากอีสปก็คือ เขาจะใช้ตัวละครที่เป็นสิงสาราสัตว์ทั่วไป เช่น "หมาป่ากับลูกแกะ, สุนัขกับเงา, ราชสีห์กับหนู" หรือ "สุนัขจิ้งจอกกับกา" เป็นต้น
ความรู้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในตำราหรือในระบบการศึกษาเท่านั้น หากเรารู้จักค้นคว้าหาความรู้รอบตัวก็จะเป็นคนฉลาดแบบอีสปได้เหมือนกันนะ

ตอนที่
ชื่อตอน นิทานอีสป
1
กบกับหนู
2
กวางป่ากับพวงองุ่น
3
กากับนกนางเเอ่น
4
กาบ้ายอ
5
กาหลงฝูง
6
กาอยากเป็นหงส์
7
ไก่ฟ้ากับสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
8
เเกะกับหมาป่า
9
คนเลี้ยงเเพะ
10
คนกับเงาของลา
11
คนขี้เหนียวกับทองคำ
12
คนตัดไม้กับเทพารัักษ์
13
คนตัดไม้กับสุนัขจิ้งจอก
14
คนหาปลา
15
คนหาปลากับพราน
16
คางคกกับสุนัขจิ้งจอก
17
ค้างคาวเลือกพวก
18
ชายโง่กับต้นไผ่
19
ชายพเนจรอกตัญญู
20
ชาวนากับเทพารักษ์
21
ชาวนากับงูเห่า
22
ชาวนากับสิงโต
23
เด็กเลี้ยงเเกะชอบปด
24
เด็กโลภ
25
เด็กซุกซนกับหมาป่า
26
ต้นโอ๊กผู้ยิ่งใหญ่
27
ต้นสนอวดดี
28
ตั๊กเเตนผู้หิวโหย
29
เทียนเเข่งเเสง
30
นกกระเรียนกับหมาป่า
31
นกยางได้ใจ
32
นกสาวมีลูก
33
นักรบไร้ผม
34
นักดูดาว
35
นางเเมวมีรัก
36
นางสิงห์
37
ปลาโลมากับสิงโต
38
ผึ้งขอพร
39
ผู้ใหญ่ช่างสอน
40
พรานใหม่ผู้กล้าหาญ
41
ราชสีห์กับหนู
42
เเพะกับสิงโต
43
เเพะอยากกินน้ำ
44
ม้ากับหมาป่า
45
ม้าพยาบาท
46
เเม่เหยี่ยวกับลูก
47
เเม่กวางกับลูก
48
เเมงป่องกับเด็ก
49
เเม่ตุ่นกับลูกตุ่น
50
เเม่ปูสอนลูก
51
เเมลงวันตะกละ
52
เเมลงวันหัวเราะ
53
เเมวผู้หวังดี
54
เมื่อสุนัขกัด
55
ลาเจ้าอุบาย
56
ลาโง่กับสิงโต
57
ลาใจดำ
58
ลากับม้าทหาร
59
ลาทะนงตน
60
ลาลืมตน
61
ลาหลายนาย
62
ลาอยากร้องเพลง
63
ลิงอวดเก่ง
64
ลูกเเกะรู้ทันหมาป่า
65
ลูกกวางกับทะเล
66
ลูกชาวนากับมรดก
67
ลูกสาวกับพ่อ
68
ลูกอึ่งอ่างกับเเม่
69
วัวกับเเมลงหวี่
70
วัวสามสหาย
71
วัวหนุ่มกับวัวสาว
72
สองเกลอกับขวาน
73
สองสาวใช้กับไก่
74
สามขุนนาง
75
สามีผู้ใจดี
76
สิงโตกับที่ปรึกษา
77
สุนัขเฝ้าบ้าน
78
สุนัขจิ้งจอกในดงหนาม
79
สุนัขจิ้งจอกกับไก่บ้าน
80
สุนัขจิ้งจอกกับฝูงเหลือบ
81
สุนัขจิ้งจอกกับลา
82
สุนัขจิ้งจอกกับหมี
83
สุนัขจิ้งจอกกับสิงโต
84
สุนัขผู้ซื่อสัตย์
85
สุนัขรับเชิญ

การส่งเสริมการเรียนรู้นักเรียน



การส่งเสริมการเรียนรู้นักเรียน
นพ พนม เกตุมาน
สาขาวิชาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

1. สร้างแรงจูงใจในการเรียน
· เด็กรู้สึกว่าเป็นที่รักของครูและเพื่อน
· เด็กมีส่วนร่วมในการเรียนรู้
· วิธีการจัดประสบการณ์เรียนรู้และบรรยากาศในการเรียนสนุก เรียนแบบบูรณาการ
· มีวิธีนำสู่บทเรียน ใช้กิจกรรมหลากหลาย
· สร้างความรู้สึกอยากเรียน อยากรู้ว่ามีอะไรต่อไป สิ่งที่เรียนรู้จะเอาไปใช้ในชีวิตจริงอย่างไร นำปัญหาหรือเหตุการณ์ในชีวิตจริงที่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้มานำสู่การเรียน
· ใช้อารมณ์ขัน เรื่องตลกที่เกี่ยวข้อง ข้อคิดประทับใจ
· ลดความเครียดในการเรียนที่ไม่จำเป็น ครูไม่เป็นกันเอง ครูดุ ทำโทษมากเกินไป ใช้เวลาในการบ่น ดุเด็กที่ไม่ได้อยู่ในห้อง ทำโทษกลุ่ม ไม่ได้สอน สอนไม่เข้าใจ สอนเร็วเกินไป ให้งานเยอะ การบ้านเยอะ
· เรียนเข้าใจ/รู้เรื่อง
2. จัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม
· การจัดตำแหน่งเด็ก
· จัดที่นั่งใหม่ แบบวงกลม วงกลมซ้อนกัน กลุ่มย่อยหลายกลุ่ม ไม่มีกลุ่ม
· เรียนนอกห้องเรียน ใต้ต้นไม้ สวนหย่อม ห้องประชุม ห้องฝึกสมาธิ
· เรียนนอกโรงเรียน ในวัด ในโบสถ์ สวนสาธารณะ หอศิลป์ พิพิธภัณฑ์ โรงเรียนอื่น ศูนย์เยาวชน โรงพยาบาล
3. เปลี่ยนบรรยากาศ
4. ใช้วิธีการสอนหลายแบบ ให้สนุก ประทับใจ จับคู่ กลุ่มผึ้ง(Buzz Group) กลุ่มใหญ่ เขียนเว็บ แผนที่ความคิด (Mind Map) ระดมสมอง(Brain Storming) จัดระบบความคิด (Affinity Diagram)
5. ฝึกให้เขียน บันทึก คิดวิเคราะห์ด้วยตัวเอง
6. ฝึกให้เด็กสังเคราะห์ คิดหาคำตอบที่หลากหลาย
7. มีการทดลองพิสูจน์สิ่งที่คิด หรือเรียนรู้ กล้าท้าทายการสอนของครู
การป้องกันปัญหาพฤติกรรม
1. กำหนดกติกาให้ชัดเจน
2. เอาจริงกับกฎเกณฑ์ ไม่ปล่อยให้มีการละเมิดกัน
3. ใช้เทคนิค “ขอเวลานอก” เมื่อเด็กละเมิดคนอื่น
4. “แจ้งข้อหา” อย่างรวบรัด
5. ฟังเหตุการณ์รอบด้านอย่างสงบ เปิดโอกาสให้พูดพอควร แต่อย่าให้เป็นการแก้ตัวเกินไป
6. ตัดสินด้วยความสงบ ตามข้อตกลงของการจัดการเมื่อมีการละเมิดกัน
7. ใช้การลงโทษ ที่ไม่ก้าวร้าวรุนแรง เช่น การตัดรางวัล บำเพ็ญประโยชน์ ออกกำลังกาย
8. ชวนคิดหาวิธีการแก้ไขปัญหาใหม่ๆ เช่น เวลาเพื่อนล้อเลียน จะมีทางออกอื่นๆอย่างไรอีก เช่น ฟ้องครู บอกเพื่อนตรงๆ ให้เพื่อนช่วย ไม่สนใจ เปลี่ยนความคิดใหม่ เพื่อนล้อเท่ากับเพื่อนสนใจ อยากเล่นด้วย ล้อกลับ ชวนเพื่อนเล่นอย่างอื่น ทำให้เพื่อนรักเสียเลย ขู่กลับ
9. หากิจกรรมเบนความสนใจ
10. ใช้กิจกรรมที่ระบายความโกรธ ความก้าวร้าว เช่น เตะฟุตบอล ชกกระสอบทราย เครื่องปั้นดินเผา แกะสลัก แต่กิจกรรมนั้นต้องมีกติกาควบคุม
11. ให้ทำงานที่เป็นประโยชน์ ให้เป็นที่ยอมรับของเพื่อน และครู

การลงโทษ
1 ไม่เสียความสัมพันธ์ระหว่างกัน
2 หาข้อมูลให้ครบถ้วน อย่าลงโทษผิดคน ฟังเด็ก “แจ้งข้อหาให้ชัดเจน”
3 ลงโทษให้ถูกคน อย่าลงโทษกลุ่มจากความผิดของคนๆเดียว
4 ไม่อาย เสียหน้า เสียเกียรติหรือศักดิ์ศรีของมนุษย์ไม่ควรไล่ให้ไปพ้นๆ ไปขายเต้าฮวย ฯลฯ
5 ไม่น่ากลัวเกินไป ไม่ควรขู่ หรือขู่แล้วไม่ทำตามที่ขู่
6 ไม่รบกวนการเรียนรู้ปกติ ไม่ควรไล่ออกจากห้อง
7 ไม่เสียความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง เช่น การด่าว่า เป็นสัตว์ ใช้คำพูดหยาบคาย
8 มีการตกลงกันไว้ก่อน ว่าถ้ามีการทำความผิด จะเกิดอะไรขึ้น
9 ทำด้วยความสงบ ไม่ใช้อารมณ์
10 ไม่รุนแรงจนบาดเจ็บ หรือมีความเสี่ยงต่ออันตราย
11 เปิดโอกาสให้เด็กคิด ทบทวนตนเอง
12 จบแล้วจบกัน ไม่คิดแค้น ไม่มีอคติต่อไป
13 มองเด็กในแง่ดี คาดหวังดีต่อไป เปิดโอกาสให้แก้ตัวใหม่เสมอ
การแก้ไขปัญหาพฤติกรรมที่สาเหตุ
· หาสาเหตุ ทางร่างกาย จิตใจ หรือสังคม(ครอบครัว เพื่อน หรือ ครู)
· ปัจจัยเสี่ยง พื้นอารมณ์เด็ก บุคลิกภาพเดิม นิสัยใจคอเดิม การเลี้ยงดู
· ปัจจัยกระตุ้น ความเครียดในชีวิต การเปลี่ยนแปลง เช่น ย้ายโรงเรียน มีน้องคนใหม่ พ่อแม่หย่าร้างกัน เพื่อนรังแก การสอบ
· ปัจจัยเสริม ความไม่เข้าใจของสิ่งแวดล้อม ปัญหาที่คาราคาซังกันอยู่ เช่น การที่เด็กไม่ไปโรงเรียน ทำให้พ่อแม่โกรธ ลงโทษรุนแรงทำให้เด็กกลัว และไม่ยอมไปโรงเรียนมากขึ้น
การเปลี่ยนพฤติกรรมโดยใช้พฤติกรรมบำบัด
· จัดสิ่งแวดล้อม ( environmental manipulation)
· ใช้สิ่งกระตุ้น ( cueing)
· เงื่อนไข (conditioning)

การทำสบู่ใส


สบู่ใสเป็นสบู่ที่มีผู้สนใจมาก เนื่องด้วยความสวยงามดูแปลกตาและการทำก็สามารถพลิกแพลงรูปแบบต่างๆได้ บางแบบก็ใส่ดอกไม้หรือตุ๊กตาน่ารักๆไว้ภายในสบู่ บางแบบนำทองคำเปลว ใส่ไว้ให้เห็นทำให้ดูมีราคาขึ้นมาก แต่ต้นทุนก็เพิ่มขึ้นมากด้วยตามวัตถุดิบที่เราใช้ มีบางท่านทำรูปแบบออกมามากหลายแบบ ทำหีบห่อดี จัดหน้าร้านดี สามารถขายสบู่ได้ราคาก็เป็นแนวความคิดที่ดีทีเดียว สินค้าตัวนี้ทำไม่ยาก ดังนั้นใครๆก็อาจจะทำได้ครับ จุดขายของสบู่จึงน่าจะเป็นที่รูปแบบที่ไม่เหมือนใคร งานประณีต ดูทันสมัยมากกว่า เรามาเริ่มกันดีกว่าครับ...
เครื่องมือ

1
มีดคมๆสำหรับตัดสบู่ออกเป็นชิ้นเล็กๆ
2
ตาชั่งที่มีความเที่ยงตรง
3
หม้อเหล็กหรือหม้อเคลือบ 2 ใบ ซ้อนกันสองชั้น ชั้นนอกใส่น้ำส่วนชั้นในใส่เนื้อสบู่ ในรูปใช้แก้วทนไฟ
4
ถ้วยตวง
5
พายไม้ ใช้คนส่วนผสม
6
เทอร์โมมิเตอร์ 100 องศาเซนติเกรด ขึ้นไป
7
กระดาษหนังสือพิมพ์หรือกระดาษที่ไม่ใช้แล้วใช้ปูโต๊ะกันเปื้อน
8
ดรอปเปอร์สำหรับใช้หยดสี
9
แบบพิมพ์ตามต้องการ
วัตถุดิบ

1
glycerin soap bar หรือเนื้อสบู่ใส
2
สีและกลิ่นตามต้องการ
การทำสบู่ใส
เรามาดูวิธีการทำเป็นขั้นๆจากภาพซ้ายไปขวาครับ

ภาษาไทย




ภาษาไทย เป็นภาษาราชการของประเทศไทย และภาษาแม่ของชาวไทย และชนเชื้อสายอื่นในประเทศไทย ภาษาไทยเป็นภาษาในกลุ่มภาษาไต ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของตระกูลภาษาไท-กะได สันนิษฐานว่า ภาษาในตระกูลนี้มีถิ่นกำเนิดจากทางตอนใต้ของประเทศจีน และนักภาษาศาสตร์บางท่านเสนอว่า ภาษาไทยน่าจะมีความเชื่อมโยงกับ ตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต
ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีระดับเสียงของคำแน่นอนหรือวรรณยุกต์เช่นเดียวกับภาษาจีน และออกเสียงแยกคำต่อคำ เป็นที่ลำบากของชาวต่างชาติเนื่องจาก การออกเสียงวรรณยุกต์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคำ และการสะกดคำที่ซับซ้อน นอกจากภาษากลางแล้ว ในประเทศไทยมีการใช้ ภาษาไทยถิ่นอื่นด้วย

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

ครอบครัว


พื้นฐานครอบครัวที่ดี มีความเข้มแข็ง ย่อมทามให้สังคมสงบสูขกรุงเทพฯ--20 ม.ค.--แปลน พับลิชชิ่ง หากพูดถึงสถาบันที่เล็กที่สุดก็คงไม่พ้นสถาบันครอบครัว และเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุดในการสร้างเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้มีความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมที่จะออกไปสู่สังคมภายนอกอย่างมีคุณภาพ แต่ดูเหมือนว่าพ่อแม่ที่อยู่ในเมืองเท่านั้นที่ดูจะมีโอกาสได้รับข้อมูลข่าวสารในการดูแลเด็กและครอบครัว พ่อแม่ในชนบทส่วนมากยังไม่มีโอกาสเช่นเดียวกับพ่อแม่ในเมือง

สุขภาพดี” ไม่มีซื้อ ไม่มีขายค่ะ แต่อยู่ที่ตัวเรา ต้องสร้างสุขภาพที่ดีด้วยตัวเราเองเมื่ออยากมีสุขภาพดี ทําไมไม่สร้างสุขภาพ ด้วยตัวเองล่ะคะ







สุขภาพดี” ไม่มีซื้อ ไม่มีขายค่ะ แต่อยู่ที่ตัวเรา ต้องสร้างสุขภาพที่ดีด้วยตัวเราเองเมื่ออยากมีสุขภาพดี ทําไมไม่สร้างสุขภาพ ด้วยตัวเองล่ะคะ
-->
-->
เริ่มต้นได้ไม่ยากเลยค่ะ “พลเรือตรีนายแพทย์เด่นเดชา ประทุมเพ็ชร” รองเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เผยเคล็ดลับ การเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้ฟังว่า
ในงานด้านการแพทย์ แบ่งออกใหญ่ๆ ได้ 4 มิติคือ การส่งเสริมสุขภาพ, การป้องกันโรค, การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟู การรักษาหมอทําให้ท่านได้ แต่การสร้างสุขภาพนั้นต้องทําด้วยตัวของท่านเอง ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของทุกท่านที่จะต้องตระหนักถึงความสําคัญของการป้องกันไม่ให้ป่วยและการสร้างสุขภาพ ซึ่งใครทําใครได้ โดยมีคําแนะนําให้ปฏิบัติตัวง่ายๆ ยึดหลัก 4 อ. ในการสร้างเสริมสุขภาพ ดังนี้
1)อารมณ์ 2) ออกกําลังกาย 3) อาหาร 4) อนามัยสิ่งแวดล้อม
มิติด้านอารมณ์/จิตใจ การเป็นคนที่มีอารมณ์ดี ร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ เชื่อว่าคนที่สนุกสนาน และการที่หัวเราะในระดับหนึ่งที่เหมาะสมจะทําให้สมองหลั่งสารสุข (endorphine) ซึ่งมีผลทําให้คนมีความสุข ไม่เครียด และสุขภาพดี ทั้งการฝึกฝนปรับตนให้ยอมรับความจริงได้ การยึดหลักสายกลางที่เหมาะสม การปลงตก การให้อภัย การฝึกสมาธิ จิตใจที่เข้มแข็งไม่ตามใจปาก ฯลฯ
มิติด้านอาหาร อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่สําคัญ ควรเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะ ถูกหลักโภชนาการ เกิดประโยชน์ และประหยัด เช่น พวกข้าว ก็ควรเลือกข้าวกล้อง พวกข้าวเหนียว ขนมจีนควรหลีกเลี่ยง พวกผักควรเลือกผักสดใบเขียว หลีกเลี่ยงผักกระป๋อง พวกผลไม้ก็เลือกผลไม้สดๆ เช่น ชมพู่ ฝรั่ง หลีกเลี่ยงผลไม้สุกหวาน เช่น มะม่วงสุก หรือหวานจัด เช่น ลําไย องุ่น พวก ทุเรียนควรงดไปเลย
สําหรับพวกเนื้อสัตว์ปกติไม่ควรรับประทานมาก ถ้าจะรับประทานก็ควรเลือกเนื้อปลา ไข่ขาว ควรเลี่ยงเนื้อมันๆ เครื่องในสัตว์ต่างๆ
มิติการออกกําลังกาย การออกกําลังกายสม่ำ เสมอจะช่วยสร้างสุขภาพได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งนอกจากจะได้ผลดีต่อกล้ามเนื้อแล้ว ยังได้ผลดีต่อ หัวใจ ปอด และระบบไหลเวียนเลือดอีกด้วย การออกกําลังกายสม่ำเสมออย่างพอเหมาะในระดับหนึ่งก็จะทําให้สมองหลั่งสารสุข (endorphine) ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพ ทําให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า
มาสร้างสุขภาพที่ดีด้วยการออกกําลังกาย โดยออกกําลังกายวันละ 30-60 นาที ประมาณ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์
มิติด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม มิตินี้มีความสําคัญ ช่วยทําให้ทุกๆ สิ่งรอบตัวเราเอื้ออํานวย และเป็นประโยชน์ต่อการสร้างเสริมสุขภาพ เป็นหลายปัจจัยประกอบกัน ที่จะช่วยลดการเจ็บป่วย ช่วยป้องกันไม่ให้คนป่วยเจ็บ และช่วยสร้างเสริมให้คนมีสุขภาพดีขึ้น เช่น สิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่มีมลพิษ มีการอนุรักษ์ธรรมชาติให้มีความสมดุล เช่น มีต้นไม้ จะให้ความร่มรื่น ผ่อนคลาย แล้วต้นไม้ใหญ่ๆ จะช่วยกําจัดพิษคือดูดคาร์บอนไดออกไซด์แล้วยังคลายอากาศบริสุทธิ์เป็นออกซิเจนอีกด้วย
มาเร่งสร้างเสริมสุขภาพที่ดีกันเถอะค่ะ
อย่าผัดวันประกันพรุ่งจนต้องรอซ่อม เริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

สภาพจิตใจของวัยรุ่น




สภาพจิตใจของวัยรุ่น
วัยรุ่นเป็นวัยของการเร่งเจริญเติบโตทั้งในทางชีวะ สรีระ และจิตวิทยา
เป็นวัยเร่งสร้างสุขนิสัย เร่งปรับตัว เร่งทางวิชาการ และเริ่มเลือกอาชีพ สรุปแล้วเป็น
การเร่งเจริญเติบโตทุกๆด้าน คำว่า adolescent มาจากภาษาลาติน adolescere
ซึ่งหมายความว่า to grow up4 มีวัยรุ่นและพ่อแม่ของวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยที่ต้องเดือดร้อน
วุ่นวายไปกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายนี้ แต่ในเวลาเดียวกันก็มีวัยรุ่นอีกจำนวนมากที่
ผ่านระยะของวัยนี้ไปได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด Erikson เป็นผู้หนึ่งที่มองว่าสิ่งต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่น เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ความผิดปกติหรือเรื่องที่น่าจะเดือดเนื้อร้อนใจมาก
มายนัก ถึงแม้ Erikson จะใช้คำว่า "identity crisis" ในการบรรยายถึงวัยรุ่น
เขาก็หมายถึงช่วงระยะหนึ่งของพัฒนาการตามปกติ และคำนี้ก็กลายเป็นที่ยอมรับและใช้กัน
โดยทั่วไป5
การแสวงหาเอกลักษณ์ของตนเอง(Identity Versus Role Confusion :12-20 ปี)
การปรับตัวของวัยรุ่นเป็นพัฒนาการต่อจากวัยเด็ก แต่วัยรุ่นจะต้องเผชิญกับ
ความคาดหวังของผู้อื่นมากกว่าสมัยเมื่อเขายังเด็ก การเปลี่ยนแปลงจากเด็กที่พึ่งพาอาศัย
พ่อแม่ไปเป็นคนที่กำลังจะเริ่มเป็นผู้ใหญ่ จะเริ่มรับผิดชอบตัวเอง ทำให้วัยรุ่นต้องมีการปรับ
ตัวทางอารมณ์และสังคมอย่างมาก มีการสร้างเอกลักษณ์ของตนเอง สร้างทัศนคติ และค่า
นิยมแห่งชีวิต เมื่อเริ่มห่างจากพ่อแม่ มิตรภาพระหว่างเพื่อนฝูงก็กลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
อย่างหนึ่งของวัยรุ่น การแสวงหาเอกลักษณ์ของตนเองนี้ Erikson เรียกว่าเป็น iden-
tity crisis หรือวิกฤตการณ์แห่งการแสวงหาเอกลักษณ์ มีการมองตน และเห็นตนเอง
ตามที่ผู้อื่นเห็น เรียนรู้และยอมรับความสามารถของตน เลือกเอาความเป็น "ตน" เหมือน
ตัวละคร เลือกสวมหน้ากาก ซึ่งตนจะแสดงบทบาทได้เหมาะสม เช่นเดียวกับการสวมหัว
โขนของไทย4 เรียนรู้และสร้างเอกลักษณ์ของตนขึ้นมา
การยอมรับตนขึ้นอยู่กับการใช้สติปัญญาของผู้นั้นด้วย ถ้ามีเหตุมีผลใช้สติปัญญาก็
จะเข้าใจตัวเองตามที่เป็นจริง (realistic) ถ้าใช้อารมณ์อย่างเดียวก็จะมองเห็นตน
ตามที่ตนอยากจะเป็น (ideal self) ผู้ที่ใช้สติปัญญาย่อมมองเห็นความแตกต่างระหว่าง
ตัวเองจริงๆ กับตัวเองในอุดมคติ การมองเห็นตัวเองนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจากสังคม
วัฒนธรรมที่แวดล้อมตนอยู่ ถ้าพ่อแม่เพื่อนฝูงยอมรับ ก็จะเกิดความมั่นใจในตัวเอง ถ้าเข้า
กับใครไม่ได้ ก็ทำให้เกิดความสงสัยไม่มั่นใจ และไม่เชื่อว่าผู้อื่นจะยอมรับตนต่อไป
อารมณ์ของเด็กวัยรุ่น

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ระบบร่างกายมนุษย์


ร่างกายมนุษย์มีกลไกต่าง ๆ คล้ายเครื่องยนต์ ร่างกายต้องใช้พลังงาน การเผาผลาญพลังงานจะเกิดของเสีย ของเสียที่ร่างกายต้องกำจัดออกไปมีอยู่ 2 ประเภท1. สารที่เป็นพิษต่อร่างกาย2. สารที่มีปริมาณมากเกินความต้องการ ระบบการขับถ่าย เป็นระบบที่ร่างกายขับถ่ายของเสียออกไป ของเสียในรูปแก๊สคือลมหายใจ ของเหลวคือเหงื่อและปัสสาวะ ของเสียในรูปของแข็งคืออุจจาระ
อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูปของแข็งคือ ลำไส้ใหญ่(ดูระบบย่อยอาหาร) อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูปของแก๊สคือ ปอด(ดูระบบหายใจ) อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูปของเหลวคือ ไต และผิวหนัง -อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูปปัสสาวะ ได้แก่ ไต หลอดไต กระเพาะปัสสาวะ -อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูปเหงื่อ คือผิวหนัง ซึ่งมีต่อมเหงื่ออยู่ในผิวหนังทำหน้าที่ขับเหงื่อ

การย่อยอาหารซึ่งจะสิ้นสุดลงบริเวณรอยต่อระหว่างลำไส้เล็กกับลำไส้ใหญ่ ลำไส้ใหญ่ยาวประมาณ 5 ฟุต ภายในมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 นิ้ว เนื่องจากอาหารที่ลำไส้เล็กย่อยแล้วจะเป็นของเหลวหน้าที่ของลำไส้ใหญ่ครึ่งแรกคือดูดซึมของเหลว น้ำ เกลือแร่และน้ำตาลกลูโคสที่ยังเหลืออยู่ในกากอาหาร ส่วนลำไส้ใหญ่ครึ่งหลังจะเป็นที่พักกากอาหารซึ่งมีลักษณะกึ่งของแข็ง ลำไส้ใหญ่จะขับเมือกออกมาหลอลื่นเพื่อให้อุจจาระเคลื่อนไปตามลำไส้ใหญ่ได้ง่ายขึ้น ถ้าลำไส้ใหญ่ดูดน้ำมากเกินไป เนื่องจากกากอาหารตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่หลายวัน จะทำให้กากอาหารแข็ง เกิดความลำบากในการขับถ่าย ซึ่งเรียกว่า ท้องผูก
สาเหตุของอาการท้องผูก1. กินอาหารที่มีกากอาหารน้อย2. กินอาหารรสจัด3. การถ่ายอุจจาระไม่เป็นเวลาหรือกลั้นอุจจาระติดต่อกันหลายวัน4. ดื่มน้ำชา กาแฟ มากเกินไป5. สูบบุหรี่จัดเกินไป6. เกิดความเครียด หรือความกังวลมาก โดยปกติ กากอาหารผ่านเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ประมาณวันละ 300-500 ลูกบาศก์เซนติเมตร ซึ่งจะทำให้เกิดอุจจาระประมาณวันละ 150 กรัม


เราได้ทราบจากเรื่องระบบหายใจแล้วว่า ปอดคืออวัยวะที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซ น้ำ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการแล้วจะออกจากเซลล์แพร่เข้าไปในเส้นเลือด แล้วลำเลียงไปยังปอดเกิดการแพร่ของน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ถุงลมปอดแล้วเคลื่อนผ่านหลอดลมออกจากร่างกายทางจมูก

ในผิวหนังของคนเราสามารถขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทางรูขุมขน ซึ่งสิ่งที่ถูกขับออกมาคือ เหงื่อ
เหงื่อที่ถูกขับออกมาทางต่อมเหงื่อ ในเหงื่อประกอบด้วยน้ำประมาณ 99 เปอร์เซ็นต์ สารอื่น ๆ อีก 1 เปอร์เซ็นต์ เป็นพวกเกลือโซเดียมคลอไรด์ สารอินทรีย์ พวกยูเรีย และมีน้ำตาล แอมโมเนีย กรดแลคตริก และกรดอะมิโนอีกเล็กน้อย ประโยชน์ของการระเหยของเหงื่อ คือ เป็นการปรับระดับอุณหภูมิของร่างกาย โดยระบายความร้อนไปกับเหงื่อที่ระเหย ปริมาณเหงื่อที่ถูกขับออกมาจะเกิดขึ้นได้ดีที่อุณหภูมิประมาณ 32 องศาเซลเซียส
การปฏิบัติตนเพื่อดูแลรักษาอวัยวะในระบบขับถ่าย 1. ดื่มน้ำสะอาดวันละมาก ๆ รับประทานอาหารที่สุกใหม่ ๆ 2. ไม่กลั้นอุจจาระและปัสสาวะเป็นเวลานาน ๆ 3. ควรอาบน้ำชำระร่างกายทุกวัน 4. ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม 5. ถ้ามีอาการผิดปกติต้องรีบปรึกษาแพทย์

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009




ช่วนนี้นะครับเรามารู้จักไข้หวัดใหย่สายพันใหม่2009กันนะครับ
รู้จักกับไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ของโลก A-2009 H1N127เม.ย. ที่ผ่านมาสำนักข่าวต่างประเทศต่างพากันรายงานว่าที่กรุงเม็กซิโก ซิตีเมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก ได้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ คือไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์H1N1หรือที่เรียกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009ซึ่งหลังจากที่ได้แพร่ระบาดเข้าสู่สหรัฐอเมริการและแคนนาดาแล้วจึงได้กระจายไปสู่ภูมิภาคอื่นทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
โดยองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้เพิ่มระดับเตือนภัยการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้เป็นระดับ 5 ซึ่งเป็นขั้นที่ตรวจพบว่ามีการแพร่เชื้อจากคนสู่คนในอย่างน้อย 2 ประเทศในภูมิภาคเดียวกัน หรือการติดเชื้อข้ามประเทศ เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา
ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 52 องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศยกระดับการเตือนภัยไข้หวัดใหญ่ 2009 จากระดับ 5 เป็นระดับ 6 หรือระดับสูงสุดแล้ว เนื่องจากเริ่มต้นแพร่ระบาดไปทั่วโลกแล้ว อีกทั้งยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ ยุโรป อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย เอเชีย และภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 41 ปีที่มีการประกาศเตือนภัยไข้หวัดใหญ่ระบาดกว้างขวางทั่วโลก
นอกจากนี้องค์การอนามัยยังประกาศให้เรียกชื่อโรคนี้อย่างเป็นทางการว่า โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดA H1N1 แทนการเรียกว่า ไข้หวัดหมู
เช่นเดียวกับที่ก่อนหน้านี้สหรัฐ เรียกไข้หวัดสายพันธุ์ดังกล่าวว่า ไข้หวัดใหญ่ 2009 H1N1 เพื่อแก้ความเข้าใจผิดที่ว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้เกิดจากหมู
รู้จักกับไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ของโลก

ดร.แนนซี่ ค็อกซ์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยไข้หวัดใหญ่ ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐ กล่าวว่า ไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ชนิด A H1N1 นี้ มีลักษณะพันธุกรรมหรือยีน ที่ประกอบด้วยเชื้อไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์รวมอยู่ด้วยกัน ได้แก่ เชื้อไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์ เชื้อไข้หวัดนกที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ และ เชื้อไข้หวัดหมูที่พบบ่อยในทวีปยุโรปและเอเชีย


โดยสันนิษฐานเบื้องต้นว่า เชื้อไข้หวัดพันธุ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม หรือ Antigenetic Shift โดยมีหมูที่เป็นพาหะนำโรค โดยการถูกเชื้อไวรัสไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู และไข้หวัดใหญ่ เข้าไปอยู่ในตัว ต่อมาเซลล์ในตัวหมูถูกไวรัสตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปโจมตี ทำให้หน่วยพันธุกรรมไวรัสดังกล่าวผสมปนเปกันระหว่างการแบ่งตัว กลายเป็นเชื้อพันธุ์ใหม่ขึ้นมา

ขณะเดียวกัน ก็มีรายงานว่า นายเอเดรียน กิบส์ ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยพัฒนายาต้านไวรัส ทามิฟลู ของบริษัทโรช และเป็นผู้ศึกษาวิวัฒนาการของเชื้อโรคมาเป็นเวลานานถึง 40 ปี เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์รายแรกๆที่วิเคราะห์ส่วนประกอบทางด้านพันธุกรรมเปิดเผยว่า เขาตั้งใจที่จะตีพิมพ์รายงานที่มีข้อมูลบ่งชี้ว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ จากไข่ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เพาะไวรัสและบริษัทยาได้นำไปใช้เพื่อผลิตวัคซีนก็เป็นได้

โดยนายกิบส์กล่าวว่า การชี้เบาะแสของต้นตอไวรัสอาจจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ทำความเข้าใจไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของการแพร่เชื้อและสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ซึ่งขณะนี้องค์การอนามัยโลกอยู่ในระหว่างการพิจารณารายงานฉบับนี้

หมูไม่เกี่ยว
น.พ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผอ.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดใหม่นี้ว่า แม้จะมีเชื้อตั้งต้นมาจากหมู แต่ระยะแพร่ระบาดคือ ติดต่อจากคนสู่คน ดังนั้นการบริโภคผลิตภัณฑ์จากหมูไม่มีอันตรายแต่อย่างใด
ทั้งนี้หากเปรียบเทียบกับ “ไข้หวัดนก” ที่เคยแพร่ระบาดในอดีต ซึ่งเป็นเชื้อที่ติดต่อจากสัตว์ปีกสู่คนได้นั้น จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ผู้ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์นี้ มีอัตราเสียชีวิตร้อยละ 5-7 ซึ่งถือว่ายังน้อยกว่าอัตราของผู้เสียชีวิตของผู้ป่วยโรคไข้หวัดนก

ข้อมูลที่น่าสนใจ
1. ปัจจุบันมีเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่จำนวนมากในโลกและมีวัคซีนที่สามารถฉีดยาป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โดยแต่ละปีวัคซีนที่นำมาใช้เป็นไปตามเชื้อไวรัสที่น่าจะมีผลกระทบมากในปีนั้นๆ
2. ไวรัส H1N1 หรือไวรัสของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่นี้ เป็นไวรัสที่ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็วและยังไม่มีวัคซีนป้องกัน
3. ปัจจุบันยังไม่มีอันตรายที่น่าวิตกจนเกินไป โดยที่ผ่านมาผู้ที่ได้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 จะมีความรุนแรงต่อร่างกายน้อย น.พ. Belinda Ostrowsky จากศูนย์การแพทย์ Montefiore นิวยอร์ค กล่าวว่า มีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดชนิดนี้ เพียงเล็กน้อยในสหรัฐฯ หากเทียบกับยอดผู้เสียชีวิตด้วยไข้หวัดตามฤดูกาลประมาณ 2,000 คน จากทุกปี
ด้านกระทรวงสาธารณะสุขของไทย ระบุว่า เชื้อดังกล่าวไม่มีความรุนแรงมาก โดยมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่า 1% มีโอกาสหายเองได้เกิน 90 % และในส่วนที่ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 5-10% นั้น เนื่องจากมีโรคประจำตัว
4. ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพแข็งแรงและอาการไม่รุนแรง สามารถรักษาหายได้ด้วยภูมิต้านทานของร่างกาย ทั้งนี้หากเป็นผู้สูงอายุหรือเด็กจะมีความเสี่ยงมากกว่า



อาการ
ผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่เกิดขึ้นตามปกติ คือ มีไข้ขึ้นสูง ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ไอ คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตามร่างกายรุนแรง ท้องร่วง และปวดศีรษะรุนแรง อาการป่วยจะพัฒนารวดเร็วและจะมีอาการหายใจลำบากอย่างรุนแรงภายใน 5 วัน ทั้งนี้อาจจะพบว่าผู้ที่รับเชื้อจะแสดงอาการไม่รุนแรง
ข้อควรระวัง
- ผู้ติดเชื้อมีภูมิต้านทานอ่อนแอ ได้แก่ เด็ก คนชรา และผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคภูมิแพ้ เป็นต้น จะมีผลกระทบต่อร่างกายมากกว่าคนธรรมดา ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้นควรพบแพทย์เมื่อรู้สึกเป็นไข้ภายใน 2 วัน
- กรณีที่มีอาการรุนแรง เกิดจากมีการอักเสบที่ปอด จนถึงขั้นเสียชีวิตได้
- เด็กเล็กที่มีผู้ปกครองอาจได้รับทราบอาการป่วยช้า เนื่องจากเด็กไม่ได้บอกให้ทราบ
การติดต่อ
การแพร่ติดต่อเช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคน คือ
1. แพร่ไปยังผู้อื่นโดยการไอ หรือจามรดกัน โดยที่เชื้อจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย
2. ติดจากมือและสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ และเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา หากนำมือที่มีเชื้อไปสัมผัสร่างกาย เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา
การป้องกัน
1.ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิด เพื่อป้องกันเวลาจาม
2.หมั่นล้างมือ
3.หากมีอาการ ไข้อย่างรุนแรง และไข้ไม่ลดภายใน 2 วัน ควรรีบพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคนี้ รวมทั้งผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศที่มีการแพร่ระบาด
4. หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่แอดอัด และงดเดินทางไปในประเทศที่มีการแพร่ระบาดของโรคนี้อย่างรุนแรง
5. รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ


การรักษา
ในเอกสารเรื่องการแพร่ระบาดของไข้หวัดชนิดนี้ ที่กงสุลใหญ่ ในนครลอสแองเจลิสของสหรัฐ แสดงข้อมูลที่ระบุว่า สามารถใช้ยาชนิดเดียวกับยาไข้หวัดใหญ่ทั่วไปในการรักษาไข้หวัดชนิดเอ H1N1 ได้ คือ ยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) หรือ ทามิฟลู (Tamiflu) และยา zanamivir ซึ่งเป็นยาชนิดพ่น แต่ทั้งนี้ยาดังกล่าว ไม่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสได้
ทั้งนี้มีรายงานระบุว่าในสหรัฐอเมริกา ผลการตรวจเชื้อไวรัสชนิดนี้พบว่าเชื้อดังกล่าวดื้อยาต้านไวรัส amantadine และ rimantadine
อย่างไรก็ตาม WHO ออกมายอมรับว่ายาทามิฟลูที่มีอยู่ในขณะนี้อาจไม่เพียงพอต่อการับมือกับการแพร่ระบาดที่อาจเพิ่มมากขึ้น

ข้อควรพิจารณา
1. ไม่ควรเชื่อ หากมีการโฆษณาว่า เมื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไปแล้ว จะสามารถป้องกันไข้หวัดใหม่สายพันธุ์ใหม่ได้
2. ค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจว่าผู้ป่วยเข้าข่ายติดเชื้อไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือไม่ ต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมากสำหรับผู้มีฐานะยากจน คือประมาณ 4,000-8,000 บาท ดังนั้นจึงควรพิจารณาให้รอบคอบ หรือศึกษาข้อมูลด้วยตัวเองและปรึกษาแพทย์ก่อน


สถานการณ์แพร่ระบาด
วันที่ 12 มิ.ย. 52 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศยกระดับการเตือนภัยไข้หวัดใหญ่ 2009 จากระดับ 5 เป็นระดับ 6 หรือระดับสูงสุดแล้ว ซึ่งหมายถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดไปทั่วโลกแล้ว อีกทั้งยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ ยุโรป อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย เอเชีย และภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้น WHO ได้แนะนำให้บริษัทเวชภัณฑ์ที่ผลิตวัคซีนต่างๆ เร่งผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลให้เสร็จสิ้น ซึ่งจะเสร็จสิ้นภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ก่อนหันไปผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งคาดว่าจะออกสู่ท้องตลาดอย่างเร็วที่สุดเดือนกย.ปีนี้ และ WHO จะเริ่มแจกยาต่อต้านไวรัส “ทามิฟลู” ให้ประเทศต่างๆ อีก 5.65 ล้านชุด เพิ่มเติมจากที่แจกไปแล้ว 5 ล้านชุด


สถานการณ์ในประเทศไทย
ซึ่ง วันที่ 1 พ.ค. 52 นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่าที่ประชุมศูนย์บัญชาการเตรียมความพร้อมป้องกันและควบคุมแก้ไขสถานการณ์การระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ ให้สรุปใช้ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ 2009H1N1 และมีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพื่อให้ง่ายแก่การสื่อสารและสร้างความเข้าใจแก่สาธารณะ
วันที่ 15 มิ.ย.52 ศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ปรับเพิ่มระดับความรุนแรงของโรคดังกล่าวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย จากระดับ B เป็นระดับ C
มาตรการเฝ้าระวัง
สธ.ใช้มาตรการแซนด์วิช คือมาตรการเฝ้าระวังโรคในกลุ่มที่เดินทางมาจากต่างประเทศทุกคนที่ด่านตรวจโรคประจำสนามบิน เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ ได้เพิ่มกำลังแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ประจำการจากวันละ 60 คน เป็นวันละเกือบ 100 คน ตลอด 24 ชั่วโมง และให้มีระบบการเชื่อมโยงส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยในรายที่มีไข้และเดินทางกลับจากต่างประเทศให้พื้นที่ต่างๆ ได้ติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงตามด่านพรมแดนต่างๆ และการค้นหาผู้ป่วยในหมู่บ้านชุมชน และที่โรงพยาบาล คลินิก โรงพยาบาลเอกชน อย่างเข้มแข็ง เพื่อค้นหาผู้ป่วยให้พบอย่างรวดเร็ว ให้การดูแลรักษาและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อให้อยู่ในวงจำกัด
ยาต้านไวรัส
กระทรวงสาธารณะสุขได้มอบหมายให้องค์การเภสชักรรม(อภ.) เจรจากับบริษัทยาในประเทศอินเดียซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบการการผลิตยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ให้ยังคงราคาเดิมเป็นเวลา 1 เดือน เนื่องจากขณะนี้เกิดการระบาดทำให้หลายประเทศสั่งซื้อจำนวนมาก จนราคาวัตถุดิบปรับสูงขึ้น มาตรการด้านสำรองนั้น
เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไวต่อยาโอเซลทามิเวียร์และยาซานามิเวียร์ เพราะยาทั้ง 2 ชนิดนี้ เป็นยาปฏิชีวนะกลุ่มเดียวกันที่ยับยั้งไม่ให้ไวรัสแตกตัว โดยผู้ป่วยที่ติดเชื้อต้องรับยาติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน วันละ 2 ครั้ง และต้องรับยาภายใน 48 ชั่วโมง เมื่อมีอาการ จึงจะได้ผลเต็มประสิทธิภาพ เพียงแต่ยาโอเซลทามิเวียร์เป็นยากินชนิดเม็ด ส่วนยาซานามิเวียร์เป็นยาพ่น
กระทรวงสาธารณสุขปรับมาตรการในการป้องกันโรค
มุ่งเน้นการให้ความรู้ประชาชนให้รู้จักการดูแลตนเองอย่างถูกวิธี คือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ซึ่งมีอาการป่วยเล็กน้อย ให้หยุดพักเพื่อรักษาตัวที่บ้าน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ กินอาหารที่มีประโยชน์ และป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น โดยใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังไอ จาม และหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น แต่หากอาการรุนแรงขึ้น เช่น มีไข้สูง หรือไอมาก หรือหายใจลำบาก ให้ไปรักษาที่โรงพยาบาล
สธ.ออกประกาศฉบับ 7 แนะประชาชนรับมือไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่
วันที่ 13 มิ.ย. 52 ได้ออกคำแนะนำกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 7 เพื่อการป้องกันโรคสำหรับกลุ่มต่างๆ ซึ่งได้ปรับปรุงใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และข้อมูลวิชาการที่ทันสมัย ในคำแนะนำดังกล่าว สำหรับประชาชนทั่วไปเน้นการป้องกันตนเอง ไม่ให้ป่วย และการป้องกันการแพร่เชื้อจากผู้ป่วย สำหรับสถานศึกษา สถานประกอบการ และสถานที่ทำงาน เน้นการให้นักเรียนหรือพนักงานที่มีอาการป่วยหยุดเรียนหรือหยุดงาน เพื่อไม่ให้จำเป็นต้องปิดสถานศึกษาหรือสถานประกอบการ โดยสามารถ ดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.moph.go.th
ทั้งนี้หากประชาชนต้องการข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข http://www.moph.go.th/ หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการ กรมควบคุมโรค หมายเลขโทรศัพท์ 02 -590-3333 และที่ศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข หมายเลข 02-590-1994ตลอด 24 ชั่วโมง
ศิริราชถอดรหัสพันธุกรรมไวรัส ได้
โรงพยาบาลศิริราช แถลงผลสำเร็จการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ครั้งแรกของไทย ซึ่งจะนำไปสู่การวินิจฉัยโรคที่เร็วขึ้นและนำไปสู่การพัฒนาวัคซีนและยาต้านไวรัสสายพันธุ์ H1N1 ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในอนาคต
ทั้งนี้เป็นความสำเร็จจากการตรวจและศึกษาการระบาดของไข้หวัดใหญ่มานานกว่า 30 ปี ซึ่งการตรวจหาเชื้อ H1N1 นั้นโรงพยาบาลศิริราชสามารถตรวจหาได้ภายใน 24 ชั่วโมงและสามารถวิเคราะห์ลำดับนิวคลิโอไทด์เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของเชื้อได้ภายใน 3 วัน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการวิจัยดังกล่าว จะสามรถต่อยอดไปถึงขั้นการผลิตวัคซีนป้องกันได้ แต่คงไม่ทันต่อผลิตวัคซีน เพื่อป้องกันโรคไข้หวัดสายพันธุ์ที่กำลังทีระบาดอยู่ขณะนี้

รพ.รามาพัฒนาชุดตวจเชื้อ all-in-one
วันที่ 15 พ.ค. โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยผลสำเร็จ ในการพัฒนา “ชุดตรวจเชื้อไข้หวัดใหญ่”แบบออล-อิน-วัน ซึ่งสามารถตรวจเชื้อไข้หวัดทุกสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบันได้พร้อมกันในครั้งเดียว โดยรู้ผลภายใน 4 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ไข้หวัดนก(เอช5เอ็น1) ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 (เอช1เอ็น1) รวมถึงเชื้อไวรัสที่ดื้อยา
แพทย์เตือนอย่ากินยาลดไข้ก่อนลงเครื่อง
นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเตือนกลุ่มผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศว่า ไม่ควรกินยาลดไข้ก่อนลงเครื่อง ซึ่งหลายคนกลัวหากมีไข้ จะถูกกักตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะหากป่วยจากเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จริง จะเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต หากไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์ ทั้งยังจะแพร่เชื้อให้คนรอบข้างได้ แต่หากได้รับการรักษาทันเวลา ก็จะหายขาด

สถานการณ์โรคในประเทศไทย
ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2552 ถึงวันที่ 13 กรกฎาคม 2552 เวลา 11.00 น. สํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้รับแจ้งจากสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สํานักงานป้องกันควบคุมโรคเขต โรงพยาบาล สํานักอนามัย กรุงเทพมหานคร และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ข้อมูลทั้งหมดสรุปได้ ดังนี้
1. ผู้ป่วยยืนยันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด A (H1N1) 3,883 ราย
2. ผู้ป่วยยืนยันที่เสียชีวิต จํานวน 21 ราย เป็นเพศชาย 11 ราย หญิง 10 ราย อายุระหว่าง 8-63 ปี (มัธยฐาน 34.14 ปี) อยู่ในกรุงเทพมหานคร 8 ราย ชลบุรี 3 ราย ราชบุรี 2 ราย เพชรบุรี 1 ราย ภูเก็ต 1 ราย นครศรีธรรมราช 1 ราย นนทบุรี 1 ราย พระนครศรีอยุธยา 1 ราย มหาสารคาม 1 ราย สกลนคร 1 ราย สมุทรปราการ 1 ราย
นายอภิสิทธิ์ฯ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ข้อเท็จจริงยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่หลักหมื่นถึงหลักแสน ตัวเลขไม่ใช่สองพัน และทุกประเทศก็มีตัวเลขมากกว่าที่แถลงอยู่ ทุกประเทศใช้การคาดการณ์ตัวเลขทั้งนั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่นักระบาดวิทยาจะนำไปวิเคราะห์ แต่สถานการณ์จริงเกือบทุกประเทศที่มีรายงานและขึ้นเกินหลักร้อยไปแล้ว น่าจะอยู่ที่ประมาณเป็นหมื่นหรือเป็นแสนทั้งนั้น”
ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ก.ค.52 พบผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศรวม 3,883 ราย และพบผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นวันเดียว 3 ราย รวมเสียชีวิตจากไข้หวัดสายพันธ์ใหม่แล้ว 22 ราย






วันที่ 6 ก.ค. 52 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 94,512 รายใน 116 ประเทศ และผู้เสียชีวิตมีจำนวน 429 รายใน 17 ประเทศทั่วโลก
ประเทศ
ผู้ติดเชื้อ
ผู้เสียชีวิต
อเมริกา
27717
127
เม็กซิโก
10262
119
คานาดา
7983
25
สหราชอาณาจักร
7443
3
ชิลี
7376
14
ออสเตรเลีย
5298
10
ไทย
3883
22
อาเจนตินา
2485
60
จีน
2040
0
ญี่ปุ่น
1790
0
ฟิลิปินส์
1709
1
นิวซีแลนด์
1059
3
สิงคโปร์
1055
0
อื่นๆ
15581
56
รวม
94512
432
*ตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศไทยอ้างตามประกาศของกระทรวงสาธารณะสุข

ไข้หวัดใหญ๋สายพันธุ์ใหม่ 2009 ระวังได้ แต่ต้องไม่ระแวง

แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุด กล่าวว่า หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้ยินการประชาสัมพันธ์อย่างหนาหูเกี่ยวกับการให้ความรู้เรื่องการดูแลร่างกายให้แข็งแรงเพื่อที่จะอยู่ร่วมกับเชื้อโรคพันธุ์ใหม่ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ซึ่งก็คงจะถึงเวลาที่ทุกคนจะเริ่มกลับมารักและดูแลตัวเอง ตลอดจนเพื่อนร่วมสังคมกันเสียที เพราะต่อไปอาจจะมีเชื้อโรคพันธุ์ใหม่ๆ เกิดตามมาอีก
แต่เรื่องราวเหล่านี้เราเรียนรู้ได้ และถ้าเราจะลองเฝ้าสังเกตชีวิตของเราทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆกับการเรียนรู้เรื่องการเผชิญโลกอย่างที่โลกเป็นอย่างม่เป็นทุกข์ ก็จะทำให้เราได้บทเรียนร่วมกัน ทั้งนี้ สังคมต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์เรื่องการเฝ้าสังเกตอย่างมีสติให้กว้างขวาง คือในทุกเช้าที่เราตื่ขึ้นมา เราต้องสำรวจร่างกาย เพื่อฝึกกายานุปัสสนาภาวนา ให้เห็นความไม่เที่ยงในการใช้ชีวิตในฝ่ายของกายเราได้สังเกตเห็น
ทว่าในขณะที่สังเกต จิตใจของเราต้องไม่ระแวง เราก็จะเริ่มอยู่กับมันได้อย่างระวัง ซึ่งเป็นการระวังอยู่บนพื้นฐานที่ปราศจากความหวาดกลัว แต่ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วเราระแวงว่าเราจะเป็นโน่นหรือไม่ เราจะเป็นนี่หรือเปล่า ชีวิตของเราในวันนั้นก็จะดำเนินอยู่ด้วยความหวาดกลัว ฉะนั้นเรื่องการมีสติอารักขาจิตที่จะอยู่กับเรื่องที่ต้องเผชิญในโลกของความป็นจริง
ข้าพเจ้าเองก็ได้มีประสบการณ์ของการเฝ้าสังเกตในวันที่ต้องเผชิญกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็พบว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะการเฝ้าสังเกตอย่างมีสตินั้นเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เราอยู่กับความเจ็บป่วยทางกายอย่างระวัง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราที่จะยอมรับในสิ่งที่เราต้องเรียนรู้กับมัน เพราะมันเป็นไวรัสที่เข้ามาอยู่ในร่างกายเรา ถ้าเราใช้ร่างกายของเราอย่างมีสติ ก็จะเห็นว่าสิ่งนี้จะดำรงอยู่ในชีวิตของเราอย่างมีกุศลร่วมกันไปได้ เช่น เมื่อมีอาการปวดเมื่อยทางกาย เราก็รู้ว่ามันปวด แต่ไม่มีความกลัวทางจิตใจของเรา และความปวดนั้นจะค่อยๆคลี่คลายไป ซึ่งเราเข้าใจเหตุปัจจัยแห่งการเกิดของมันอย่างไม่ปรุงแต่งอย่างมีอวิชชาด้วยความกลัว ถ้าเราเฝ้าสังเกตร่างกายของเราให้มากขึ้นด้วยศักยภาพในที่มีความแข็งแรงทางจิตใจที่จะเรียนรู้กับมันแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าเวทนาททางกายก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เราคงต้องบอกให้คนในสังคมอยู่ร่วมกับสิ่งที่ต้องเผชิญอย่างคนที่มีภูมิคุ้มกันด้านในที่ไม่บกพร่อง ยาอาจจะเป็นเครื่องมือที่จะจัดการกับไวรัส แต่สติปัญญาจะเป็นเครื่องมือให้เราอยู่กับไวรัสอย่างเห็นความเปลี่ยนแปลงทางกาย แต่ไม่ทรมานใจ


สั่งหยุดรายงานป่วยตามรายวัน

เมื่อ 14 ก.ค. 52 นายอภิสิทธิ์กล่าวในรายการพิเศษ “ฝ่าภัยไข้หวัดใหญ่ 2009” ทางช่อง สทท. ว่า รัฐบาลใส่ใจเรื่องนี้ซึ่งส่วนตัวแล้วใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงติดตามข้อมูล รวมทั้งดูแนวโน้มตามต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม มีสองเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจ อย่างแรกคือ ทุกคนมีความเสี่ยงเหมือนกันหมด เพราะเป็นเรื่องเกิดใหม่ ไม่มีใครมีภูมิคุ้มกัน เมื่อระบาดแล้ว หลายประเทศประกาศทางการ ว่าไม่สามารถหยุดยั้งได้และเป็นไปได้อย่างสูงว่าโรคนี้จะอยู่กับเราเป็นปีและมีผู้ติดเชื้อมากขึ้น
และอย่างที่สอง เข้าใจว่าประชาชนตำหนิผู้เกี่ยวข้องว่าดำเนินการล่าช้า เนื่องจากเป็นโรคเกิดใหม่จึงต้องรอให้ตกผลึกก่อนและปรับตัวในการแก้ปัญหา
เขากล่าวว่า ขอให้กระทรวงสาธารณสุขทำคู่มือมาตราฐานบอกทุกฝ่ายให้ปฏิบัติตัวอย่างไร แต่เริ่มต้นจากสามัญสำนึกก่อน ทุกคนต้องระวังตัวเอง ดูแลสุขภาพอนามัยปกติ สมมติมีอาการเป็นไข้ มีไข้สูง ทานยาแล้วไข้ไม่ลด ต้องรีบไปหาหมอ หรือมีอาการบางอย่าง เช่นปวดตัว ท้องเสีย เป็นสัญญาณที่ต้องไปพบแพทย์
“ส่วนปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการตรวจเชื้อหวัดนั้น เห็นว่าคนไทยทุกคนมีสิทธิทางใดทางหนึ่งควบคุมโรคนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิทธิข้าราชการ สิทธิประกันสังคม หริสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า ถ้าแพทย์ตัดสินใจส่งเชื้อไปตรวจ ผู้ป่วยจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ถ้าเป็นความต้องการของผู้ป่วยเอง ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย”
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้าบังคับให้ประชาชนทุกคนใส่หน้ากาก ซึ่งต้องเปลี่ยนอยู่บ่อยๆ รัฐบาลต้องซื้อแจก แต่ต้องยอมรับว่ารัฐบาลไม่สามารถซื้อหน้ากากแจก 63 ล้านคนได้
ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าหน่วยไวรัสวิทยาและจุลชีวโมเลกุล คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ตัวอย่างผู้ป่วยส่งตรวจที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ประมาณ 10,000 ตัวอย่าง เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ถึง 80% ส่วนอีก 20% เป็นไข้หวัดตามฤดูกาล
ดร.วสันต์ กล่าวต่อว่า นอกจากการให้บริการตรวจยืนยันโรคแล้ว โรงพยาบาลรามาธิบดียังมีการตรวจการดื้อยาและถอดรหัสพันธุกรมมเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ พบว่าปัจจุบันยังไม่มีการดื้อยา อาจเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาการใช้ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ในประเทศไทยยังไม่มีการใช้มากเหมือนในต่างประเทศ แต่เชื่อว่าหลังจากนี้ประมาณ 3-6 เดิอนอาจพบการดื้อยาเกิดขึ้น ซึ่งเป็นธรรมชาติขิงไวรัส แต่ในขณะนี้ในสหรัฐมีการดื้อต่อโอเซลทามิเวียร์ประมาณ 80-90% แล้ว
ขณะที่ นายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า จะเสนอให้ ครม.ทุกคนใส่หน้ากากอนามัยเข้าร่วมประชุม ครม.ทุกครั้ง เพื่อเป็นแบบอย่างรณรงค์ให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัย เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโรคไข้หวัด 2009 ซึ่งเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่ ครม.ควรเป็นแบบอย่างรณรงค์ให้คนไทยใส่หน้ากากอนามัยตามสถานที่ต่างๆ เช่นโรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า โดยจะประสานงานไปยังกระทรวงมหาดไทย ให้กลุ่มโอทอปผลิตหน้ากากอนามัยที่ทำจากผ้ามาแจกให้ประชาชนต่อไป ส่วรการตรวจหาเชื้อไข้หวัด 2009นั้น จะให้โรงพยาบาลเอกชนคิดค่าตรวจอยู่ที่ 3,500 บาทต่อตัวอย่างเท่านั้น ส่วนโรงพยาบาลรัฐจะให้ตรวจฟรี
จากนั้น นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม.ว่า ครม.อนุมัติงบประมาณ 850 ล้านบาท เพื่อสั่งซื้อยาโอเซทามิเวียร์ 10 ล้านเม็ด วงเงิน 250 ล้านบาท พร้อมกับสั่งจองวัคซีนป้องกันไข้หวัด จากบริษัทซาโนฟีปาสเตอร์ จำกัด จำนวน 2 ล้านโดส วงเงิน 600 ล้านบาท โดยกำหนดส่งมองวัคซีนไนเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2552 ภายใต้เงื่อนไขว่า บริษัทดังกล่าวไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบในผลิตภัณฑ์กรณีหากเกิดผลข้างคียงจากการใช้วัคซีน เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตแจ้งว่า วัคซีนนี้ผลิตเพื่อใช้ในสถานการณืฉุกเฉิน มีประเทศสั่งจองจำนวนมาก ซึ่งต้องมีการผลิตยาจำนวนมาก จึงไม่ขอรับผิดชอบหากเกิดผลข้างเคียง
นพ.ภูมินทร์กล่าวว่า ช่วงที่ยังไม่มีการส่งมอบวัคซีนนี้มายังประเทศไทย จะมรการทดลองใช้วัคซีนนี้ในยุโรปไปเรื่อยๆ คาดว่ากว่าที่วัคซีนจะมาถึงเมืองไทยคงทราบแล้วว่าจะมีผลข้างเคียงหรือไม่ ทั้งนี้โดยทางการแพทย์แล้ว พบว่าวัคซีนทั่วไปมีความเสี่ยงจะเกิดผลข้างเคียงในอัตรา 1 ต่อล้าน มีตั้งแต่เป็นผดผื่นจนถึงพิการเสียชีวิต แต่วัคซีนนี้ยังไม่มีใครทราบว่าจะมีความเสี่ยงหรือมีผลข้างเคียงอย่างไร แต่ที่ผ่านมาสหรัฐฯเคยใช้วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์อื่นมาใช้กับคน พบว่ามีผลข้างเคียงให้คนเป็นอัมพฤกษ์กว่า 100 คน ถือว่าเป็นฝันร้ายที่ต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การประกาศตัวเลขผู้ติดเชื้อ ทางกระทรวงสาธารณสุขกำลังปรึกษากับองค์การอนามัยโลกอยู่ และตนเข้าใจว่าในสังคมไทยถ้าไม่ประกาศตัวเลขจะมีคนไปตีความว่าเราอยากจะปิดบัง วันนี้ ครม. ได้มีการอนุมัติเงินงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อซื้อยารักษาจำนวน 250 ล้านบาท จะได้ยา 1 ชุด จำนวน 10 ล้านเม็ด และอนุมัติงบประมาณในหลักการให้ซื้อวัคซีนอีก 600 ล้านบาท ซึ่งน่าจะนำเข้ามาได้ในประมาณเดือน ต.ค.นี้
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้ที่เน้นย้ำคือการไปรับการรักษาอย่างรวดเร็วในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ คนมีโรคประจำตัวโดยเฉพาะโรคอ้วน และมีการค้นพบเพิ่มเติมคิอไวรัสไข้หวัดใหญ่ตัวนี้จะเข้าไปทำลายและมีปัญหากับระบบทางเดินหายใจเร็วกว่าไข้หวัดใหญ่ธรรมดา ไข้สูงต้องรีบไปหาแพทย์ เพราะหลายกรณีที่เข้าไปในปอดแล้วอาการจะหนัก
ต่อมา นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยความคืบหน้าสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ว่า ตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.-14 ก.ค. 2552 มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ รวมทั้งสอ้น 4,057 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย รวมทั้งหมด 24 ราย เฉพาะในวันนี้ได้รับการรายงานผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการพบติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ เพิ่ม 176 ราย
น.พ.ไกรจักร แก้วนิล รองปลัด กทม. ที่สั่งให้โรงพยาบาลที่สังกัด กทม. ให้ยาทามิฟลู แก่ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา โดยไม่ต้องรอผลยืนยันการตรวจเสียก่อนว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 หรือไม่ เหมือนอย่างที่กระทรวงสาธารณสุขทำ เพื่อป้องกันการติดโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อที่ปอด นี่คือวิธีการรับมือที่ถูกต้อง ป้องกันด้วยและรักษาด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ตายเสียก่อนแล้วโทษว่าเป็นโรคแทรกซ้อน
ส่วนสถานการณืทั่วโลก นางมารี-ปอล คีนี ผู้อพนวยการด้านวิจัยวัคซีนขององค์การอนามัยโลก (ฮู) กล่าวว่า ขณะนี้การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ไม่สามารถหยุดยั้งได้แล้วและทุกประเทศจำเป็ฯต้องมีวัคซีนเอาไว้ป้องกันตัวเอง โดยคำกล่าวนี้มีขึ้นในช่วงที่อังกฤษ บราซิล โคลัมเบีย เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ และประเทศไทยต่างมีรายงานผู้เสียชีวิตพร้อมกันกว่า 10 คน เมื่อวันจันทร์
นางมารี กล่าวอีกว่า วัคซีนป้องกันหวัดชนิดนี้ ควรมีใช้อย่างเร็วที่สุดในเดือนกันยายน และทุกประเทศจำเป็นต้องมีวัคซีนไว้เพื่อป้องกันตัวเอง โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขคือคนกลุ่มแรกที่ควรได้รับวัคซีน เพราะคนกลุ่มนี้จะป็นที่ต้องการมากขึ้นหากมีคนติดเชื่อไม่หยุด ส่วนกลุ่มคนสำคัญกลุ่มอื่นๆ ควรเป็นกลุ่มหญิงท้อง หรือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป
สถิติล่าสุดขององค์การอนามัยโลกระบุว่า พบผู้ป่วยแล้วไม่ต่ำกว่า 9 หมื่นคนทั่วโลก ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 429 คน ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง โดยประเทศที่พบผู้เสียชีวิตรายใหม่มากที่สุดอยู่ในเอเชีย ได้แก่ ประเทศไทย 3 คน และฟิลิปปินส์อีก 2 คน ขณะที่มีเม็กซิโกเสียชีวิตเพิ่มอีก 3 คน ส่งผลให้ยอดเสียชีวิตรวมในแดนจังโก้อยู่ที่ 124 คน ส่วนประเทศต้องเตรียมตัวรับมือกับผู้คนมากถึง 2 ล้านคน ที่เตรียมตัวเดินทางไปแสวงบุญในนครเมกกะ และเมืองเมดินาในอีก 5 เดือนข้างหน้า
แหล่งข้อมูลการติดต่อเพื่อปรึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่

กรุงเทพมหานคร ติดต่อได้ที่ กองควบคุมโรค สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0 2245 8106, 0 2246 0358 และ 0 2354 1836
ต่างจังหวัด ติดต่อได้ที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง:
สหรัฐฯเปลี่ยนเรียกไข้หวัดใหญ่ 2009 H1N1″แทน”หวัดหมู วันนี้(30 เม.ย.) นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า 5 คนไทยที่เพิ่งเดินทางกลับจากประเทศเม็กซิโก ทางกระทรวงสาธารณสุขให้เจ้าหน้าที่แพทย์ตรวจอาการเบื้องต้นทั้ง 5...
ฐานะการเงินของประเทศต่ำมาก ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญร่าง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี ๒๕๕๒ ซึ่งมีนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมตรีว่ากระทรวงการคลังเป็นประธานในที่ประชุม เมื่อวานนี้( ๓๐...
ทุ่ม 7.6 หมื่นล้านพัฒนาใต้ 5 จังหวัด เมื่อวานนี้ (25 มี.ค.) ที่อาคารรัฐสภา 3 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคณะรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ...